Small Holder urged MOC to support down price
หมูรายย่อยร้องศุภจีพาณิชย์ออกมาตรการพยุงราคาสุกรหน้าฟาร์ม หลังขาดทุนหนัก เร่งแก้ปมห่วงโซ่ค้าหมูผิดเพี้ยน ผู้เลี้ยงไม่เห็นอนาคต พร้อมข้อเสนอฉีกกรอบสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน
15 ตุลาคม 2568 ชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ – ประธานหมูรายย่อยส่งหนังสือด่วนร้องกระทรวงพาณิชย์พยุงราคาสุกรหน้าฟาร์ม สารพัดปมกลไกผิดเพี้ยน ราคาตลาดยังแค่ 65-70% ของต้นทุน กว่าจะได้ทุนหวั่นผู้เลี้ยงตายเพิ่มอีกรอบ
นายเดือนเด่น ยิ้มแย้ม ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นหนึ่งของกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยในประเทศ ได้กล่าวถึงปัจจุบันราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มตกต่ำอย่างมาก โดยลดลงมาตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันมีราคายังอยู่ในระดับ 65-70% ของต้นทุนการผลิต แม้ดีขึ้นมาเล็กน้อยหลังมีหลายกิจกรรมของสมาคมผผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ แต่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดการขาดทุนได้ในระยะอันใกล้ เสี่ยงอย่างยิ่งต่อการล่มสลายทั้งระบบ

ปัจจุบันห่วงโซ่ปลายทางที่เป็นราคาผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากเนื้อสุกรอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สะท้อนการกระจุกตัวของมาร์จิ้นตลอดห่วงโซ่ สุกรขุนมีชีวิตเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปัจจุบันขาดเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ทำให้ผู้ประกอบการหลายฟาร์มมีการกระจายความเสี่ยงต่อยอดเป็น
- จากฟาร์มเป็นพ่อค้าสุกรขุนหน้าฟาร์มบ้าง
- จากพ่อค้ามาทำฟาร์ม ขายอาหารสัตว์ รับซื้อสุกรขุนกลับ ที่สามารถกำหนดราคาฟาร์มได้
- ค้าปลีกเนื้อสุกร ขยายตัวเปิดสาขามากขึ้นทั่วทั้งประเทศบ้าง
- ต่อยอดแปรรูปเป็นผผลิตภัณฑ์อาหาร
- ไม่รวมถึงการต่อยอดของกลุ่มครบวงจรที่กระจายความเสี่ยงอย่างครบวงจร
ความเสียหายแบบไร้การกระจายความเสี่ยงจึงตกอยู่ที่ผู้เลี้ยงสุกรเพียงอย่างเดียวที่พึ่งพาราคาสุกรหน้าฟาร์มเป็นหลัก ที่กลไกราคาถูกบิดเบือนได้ง่ายจากการไม่มีการกำกับดูแลการประกอบการของพ่อค้าคนกลาง ไม่ต่างจากสินค้าเกษตรทั่วไป
ในโอกาสที่มีการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ ชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยฯ ขอให้ท่านออกมาตรการพยุงราคาสุกรหน้าฟาร์ม พร้อมผลักดันแนวนโยบายที่จะสร้างความมั่นคง ยั่งยืน ให้กับการประกอบอาชีพการเลี้ยงสุกร โดยการวางแนวนโยบายนำเสนอที่สอดคล้องหน้าที่ อำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลดีต่อสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่นกัน โดยขอสรุปแนวนโยบายที่ขอให้การสนับสนุน ดังนี้
เรื่องเร่งด่วนออกมาตรการพยุงราคาสุกรหน้าฟาร์ม
- จากการที่สินค้าสุกรและเนื้อสุกรเป็นสินค้าควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นกฎหมายป้องกันการผูกขาด จึงขอให้ท่านพิจารณาใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อหยุดความเสียหาย โดยกำหนดราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มไม่ให้ต่ำกว่าต้นทุน และกำหนดราคาจำหน่ายปลีกเนื้อสุกรส่วนเนื้อแดง (สะโพก หัวไหล่ ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 1.7 เท่าของราคาสุกรขุนหน้าฟาร์ม ที่ผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศ โดยสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติปรับลดตัวเลขลงจากเดิม 2.0 เท่า ที่จะทำให้ราคาจำหน่ายปลีกชิ้นส่วนสุกรพื้นฐานย่อมเยาลง สนองนโยบายการดูค่าครองชีพของรัฐบาล) เนื่องจากการตั้งราคาที่ไม่สอดคล้องจะกดดันกันกลับไปมา โดยต้นทุนไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 80 บาทต่อกิโลกรัม จะได้ราคาสุกรเนื้อแดงที่ 136-140 บาทต่อกิโลกรัม โดยขอให้กำหนดกรอบเวลาในการบังคับใช้ที่ 3-6 เดือน เพื่อหยุดความเสียหาย และให้เวลาเกษตรกรปรับลด Supply ส่วนเกิน
ตามข้อเสนอนี้ จะเป็นการใช้อำนาจกับสินค้าควบคุม ให้เป็นไปในลักษณะเดียวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน ที่มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2568 กำหนดราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรที่ 7.05 บาทต่อกิโลกรัม และราคารับซื้อหน้าโรงงานอาหารสัตว์ 9.80 บาท ที่อิงตามความชื้น 30% และ 14.5% ตามลำดับ เป็นการสร้างเสถียรภาพให้กับราคาข้าวโพด ที่มีผลบังคับตั้งแต่ 30 สิงหาคม 2568 ถึง 31 กรกฎาคม 2569 ที่มีระยะเวลาถึง 11 เดือน ซึ่งการใช้อำนาจแนวทางในลักษณะเดียวกันจะทำให้กลุ่มการเลี้ยงสุกรที่รองรับราคาสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รอดพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้นที่เร่งด่วน


- โดยมาตรการตามข้อ (1) สามารถนำมาใช้เป็นนโยบายรัฐบาลเพื่อการแก้ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำได้อย่างถาวร โดยการกำหนดราคาขายขั้นต่ำให้กับเกษตรกรทุกแขนงโดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก โดยปรับสูงต่ำตามการกำหนดราคากลาง และปรับเพิ่มลดตามเกณฑ์คุณภาพของแต่ละผลิตภัณฑ์ เช่น
2.1. การหักน้ำหนักตามช่วงความชื้นแบบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
2.2. การเพิ่มลดราคาตามค่าความหวานแบบอ้อย
2.3. การเพิ่มลดราคารับซื้อตามคุณภาพซากสุกร ฯลฯ

โดยใช้ราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ที่ต้องเข้มงวดการลักลอบนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาสวมโครงสร้างราคาในประเทศ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้ทุกภูมิภาค เช่นเดียวกับเศรษฐกิจระดับภูมิภาคจะเติบโตเป็นบวก ในปีที่ราคาสินค้าทางการเกษตรดีทุกตัว
แนวนโยบายเพื่อความยั่งยืนราคาสินค้าทางการเกษตรและสุกร
- ที่ผ่านมา : การใช้อำนาจของกระทรวงพาณิชย์ ในการกำกับดูแลการค้าสินค้าสุกรขุนหน้าฟาร์มในประเทศ ชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยฯ มองว่า มีความคลาดเคลื่อนจากหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมการค้าขายและการบริการเพื่อผลที่ดีของเศรษฐกิจในประเทศ โดยมองว่ามีลักษณะอ้างดูแลผู้บริโภคมากเกินไป กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายใน มีอำนาจตามกฎหมายในการบังคับใช้ด้านการกำหนดราคา แต่กลับมีแต่การเข้ามาแทรกแซงราคาสินค้าจากผู้ผลิตเฉพาะในช่วงราคาสูง เกินต้นทุนแม้เพียงเล็กน้อย สร้างความท้อแท้ต่อเกษตรกรผู้ประกอบอาชีพการเลี้ยงสุกรที่ออกจากอาชีพพร้อมหนี้สินของครอบครัวจำนวนมาก
4. ขอให้ใช้ตัวเลขชี้นำทางด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง มาวัดผลและกำหนดทิศทางในการทำงานร่วมกับภาคเอกชน เช่น
4.1. GDP ของรายสินค้าทางการเกษตร เพื่อวัดการเติบโตรายสินค้า ที่กำกับดูแลเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือตามรอบที่เหมาะสม ที่จะส่งผลถึงการบริหารการเติบโต GDP ของประเทศแบบมีการบริหารจัดการแบบลงรายละเอียดเป็นรายสินค้า ทำให้การทำงานของกระทรวงพาณิชย์สามารถวัดผลได้ นอกเหนือจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะกิจต่างๆ ของรัฐบาล ทั้งนโยบายการเงิน และนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา
4.2. จัดทำดัชนีราคาสินค้าเกษตร ต่อ ต้นทุน รายสินค้า(Benefit Cost Ratio) เป็นรายเดือน รายไตรมาส ที่สามารถนำมาใช้ประเมินประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนโยบายการดูแลราคาของภาครัฐว่าสามารถทำให้ราคาสินค้าเกษตรเกินกว่าต้นทุน
- กำกับโครงสร้างราคาสินค้าควบคุมและสินค้าที่เกี่ยวข้อง ให้มีการจัดสรรกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin หรือ GPM) ที่เหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์
5.1. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีประกาศกรมการค้าภายใน เรื่อง การกำหนดมาตรฐานการหักลดน้ำหนักเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีความชื้น ในการคำนวณราคาตามช่วงความชื้น แต่ที่ผ่านมา นอกจากไม่มีการใช้ประกาศกรมการค้าภายในดังกล่าวนี้แล้ว ผู้ประกอบการมีการกำหนดราคาโดยอิงราคานำเข้าข้าวสาลีบวกค่าใช้จ่ายในการนำเข้า โดยไม่มีการเข้าตรวจสอบการกำหนดราคาดังกล่าว และกำกับให้เหมาะสม เพราะข้าวโพดที่ผลิตในประเทศไม่ได้มีโครงสร้างราคาขึ้นลงเชื่อมโยงกับราคานำเข้าของสินค้าใดๆ และมีส่วนหนึ่งที่นำเข้าตามกรอบ AFTA ที่มาสวมโครงสร้างราคาดังกล่าวนี้อีกด้วย ซึ่งเป็นการเปิดช่องโอกาสของการหาประโยชน์ที่มิชอบร่วมกันทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและผู้รวบรวม จากราคาที่สูงเกินควร โดยจะไปเป็นภาระต่อต้นทุนภาคอาหารสัตว์ และต้นทุนการเลี้ยงของภาคปศุสัตว์

5.2. กากถั่วเหลือง ที่เป็นผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันถั่วเหลือง (เฉพาะน้ำมันพืชเป็นสินค้าควบคุม) โดยราคากากถั่วเหลืองที่ผลิตในประเทศ อิงราคากากถั่วเหลืองนำเข้า ที่มีต้นทุนการนำเข้าประมาณ 2.0 บาทต่อกิโลกรัม ควรกำหนดราคาตามตลาด CBOT ตามระยะการส่งมอบที่ตกลงกัน บวกด้วยพรีเมี่ยมที่จะนำมาคำนวณราคาจำหน่ายในตลาดกรุงเทพฯ ที่ชัดเจน เช่น บวกเพิ่มจากราคานำเข้าไม่เกิน 2.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยโรงงานสกัดน้ำมันสามารถบริหารความเสี่ยงราคาด้วยตราสารอนุพันธ์ในตลาด CBOT ได้อยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องบวกพรีเมี่ยมมากเป็นราคาจำหน่ายในประเทศสูงเกินไป ซึ่งเป็นการเปิดช่องโอกาสของการหาประโยชน์ที่มิชอบร่วมกันทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและผู้รวบรวม จากราคาที่สูงเกินควร โดยจะไปเป็นภาระต่อต้นทุนภาคอาหารสัตว์ และต้นทุนการเลี้ยงของภาคปศุสัตว์ เช่นเดียวกับการกำหนดราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
- ขึ้นทะเบียนผู้ค้าสินค้าเกษตร : ลดการเอารัดเอาเปรียบการค้าโดยผู้ค้าสินค้าเกษตรกรรมทุกแขนง รวมทั้งสุกรโดยพิจารณาออกกฎหมายลำดับรองเพื่อขึ้นทะเบียนผู้ค้าสินค้าเกษตร เช่น ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ เรื่อง การขึ้นทะเบียนผู้ค้าสินค้าทางการเกษตร ที่กำหนดคุณสมบัติ ทำการรายการการค้า จำนวน พร้อมทั้งราคา เพื่อให้อยู่ในสายตาของผู้รักษากฎหมายป้องกันการผูกขาด(พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542) โดยสามารถใช้เครือข่ายของพาณิชย์จังหวัดในการรับขึ้นทะเบียนผู้ค้าสินค้าเกษตรกรรม
- การเข้าถึงช่องทางการตลาดและโรงเชือด : ผู้เลี้ยงรายย่อยยังคงมีปัญหาการแย่งตลาดของบริษัทครบวงจรขนาดใหญ่ที่ขยายร้านค้าไปในทุกหัวระแหง ซึ่งจะดำเนินการแก้ปัญหานี้ กับ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า(กขค.) ที่เป็นองค์กรเฉพาะต่อไป
ชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายกับผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และพลิกฟื้นโครงสร้างของการประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม ที่เป็นอาชีพของประชากรส่วนใหญ่ของพลเมือง เพื่อจัดโครงสร้างที่เป็นธรรม สร้างการกระจายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อให้พลเมืองของประเทศเดินหน้าไปสู่สังคมที่ทุกคนอยู่ดีกินดี ที่ต้องพึ่งการใช้กฎหมาย และบังคับใช้ ที่สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาวโดยไม่สร้างภาระทางการคลังของประเทศ