GAP Pig Farm
ผู้เลี้ยงสุกรพื้นที่จังหวัดสุรินทร์และพื้นที่ปศุสัตว์ เขต 3 อีสานตอนใต้กว่า 300 ฟาร์มเข้าร่วมอบรม GAP สุกร
26 มิถุนายน 2566 สุรินทร์ - สำนักงานเขตปศุสัตว์สุรินทร์ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมกับ สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมความสุกรไทย เปิดอบรมหลักสูตรการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีด้านปศุสัตว์สำหรับผู้ประกอบการฟาร์มสุกร ที่เป็นหนึ่งในโครงการ TSVA สัญจรภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง หลังจากที่ได้จัดครั้งแรกในเขต 3 ที่จังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อ 24 พฤษภาคม 2566
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวรายงานประธานการอบรมและการจัดงานครั้งนี้ว่า เพื่อให้เกษตรกรนำความรู้ความเข้าใจไปปฏิบัติกับฟาร์มตนเองซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างดีมีผู้เข้าร่วมกว่า 300 ฟาร์ม ในเขตพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และปศุสัตว์พื้นที่ เขต 3 โดยมีนายสัตวแพทย์อภิชัย นาคีสังข์ ปศุสัตว์จังหวัดสุรินทร์เป็นประธานการจัดอบรมในครั้งนี้ ได้กล่าวถึงเกณฑ์มาตรฐานความภาคบังคับที่เลิกบังคับใช้ใน 2 ช่วงของปีนี้คือพฤษภาคมและสิงหาคมเพื่อเป็นการสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพความสุกรไทย โดยมาตรฐานดังกล่าวแบ่งกลุ่มของผู้ประกอบฟาร์มตามขนาดของฟาร์มโดยใช้จำนวนสุกรขุนและจำนวนแม่ฟาร์มแยกเป็น 2 ส่วนด้วยกันประกอบด้วย2 กลุ่ม กลุ่มแรกมีผลบังคับใช้ 4 พฤษภาคม 2566 ในกลุ่มสุกรขุน 1,500 ตัวขึ้นไป หรือแม่พันธุ์ 120 ตัวขึ้นไป ในเฟสที่ 2 เป็นกลุ่มสุกรขุนตั้งแต่ 500 ถึง 1,499 ตัว หรือ แม่พันธุ์สุกรตั้งแต่ 95-119 ตัว โดยจะมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายวันที่ 2 สิงหาคม 2566
สัตวแพทย์หญิง ดร.เมตตา เมฆานนท์ วิทยากรจากสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทยได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการยกระดับไบโอซีเคียวริตี้เพื่อสู้ ASF จากของจริงซึ่งมีตัวอย่างฟาร์มที่นำแนวทางไปปฏิบัติอย่างเข้มงวด โดยดร.เมตตา ได้เน้นย้ำในเรื่องของสาเหตุของการติดเชื้อเข้าสู่ฟาร์มอันดับ 1 ที่สำคัญที่สุด คือ เรื่อง คนงานซึ่งไม่เฉพาะฟาร์มเปิดเท่านั้น ฟาร์มปิด หรือ ฟาร์มในระบบ Evaporative cooling system ก็สามารถติดเชื้อได้ทั้งหมด แม้มีกฎเกณฑ์ที่ดีแต่ไม่ทำตามอย่างเข้มงวด
การอาบน้ำของคนงานก่อนเข้าฟาร์มเป็นสิ่งที่สำคัญมากซึ่งจำเป็นต้องมีการอ่านอาบน้ำอย่างเข้มงวดเพราะในอดีตการสเปรย์ยาฆ่าเชื้อไม่เพียงพอที่จะฆ่าเชื้อกับคนงานที่จะเข้าสู่ฟาร์มได้ ในส่วนของพาหะที่ประกอบไปด้วยหนู แมลงวัน นก หมา แมว ที่เป็นกลุ่มที่สามารถนำเชื้อเข้าสู่ฟาร์มได้นั้น แมลงวันจะเป็นตัวหลักที่ต้องให้ความสำคัญที่สุด การใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในฟาร์มในกรณีของการฉีดวัคซีนการปูพรมต่างๆ ในโรคสุกรทั่วไป เช่น ไซริงค์ เข็ม และอุปกรณ์การให้ยาร่วมกันก็มีส่วนและมีประวัติเคยทำให้การกระจายของเชื้อ ASF ส่งผลให้เกิดความเสียหายหลายฟาร์มมาแล้ว การเดินข้ามเขตของพนักงานแต่ละแผนกเป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด
การยกระดับไบโอซีเคียวริตี้และการจัดการหลัก คือ ต้องทำเพื่อความสำเร็จโดยมี 3 เป้าหมายหลัก ประกอบด้วย 1) ตัดโอกาสเชื้อเข้าฟาร์ม 2) ตัดโอกาสเชื้อกระจายภายในฟาร์ม 3) กำจัดเชื้อหมดไปในฟาร์ม ซึ่งระบบจะเน้นไปที่ 3 เป้าหมายหลักเป็นส่วนใหญ่
การปรับโรงเรือนและโครงสร้างของฟาร์ม
- โรงเรือนป้องกันพาหนะ
- ทางเดินต้องเป็นปูนหรือคอนกรีตเพราะจะขจัดปัญหาในเรื่องของพื้นดินที่มีระบบอินทรีย์ที่ดูดซับฤทธิ์ของยาฆ่าเชื้อออกไป
- รั้วรอบฟาร์ม และรั้วรอบเขตเป็นสิ่งที่จำเป็น
- แยกเล้าขายออกนอกฟาร์มซึ่งประเด็นเหล่านี้หลายความก็ดำเนินการไปแล้ว
- ห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เน้นการอาบอย่างละเอียด ฆ่าเชื้อที่มือ เท้าก่อนเข้าฟาร์ม
- จุดล้างฆ่าเชื้อรถนอกฟาร์ม และรถภายในฟาร์ม
- ไซโลอาหาร นอกและในเขตเลี้ยง
- ระบบฆ่าเชื้อน้ำดื่มน้ำใช้
- หอพักพนักงาน ควรอยู่นอกเขตเลี้ยง
- การจัดครัวของฟาร์มซึ่งจะแก้ปัญหาการที่คนงานออกไปจับจ่ายในตลาดนอกพื้นที่ หรือชุมชนรอบฟาร์ม
- ห้องแลปของฟาร์ม ถ้ามีงบควรพยายามจัดหาไว้ เพราะมีความจำเป็นต้องตรวจกันแทบทุกวัน
- ห้องแลปภายนอกควรส่งเป็นประจำ
ในการใช้มุ้งคุมกันนกและแมลงต้องเข้มงวดในเรื่องของจุดชำรุดเสียหายโดยปลายผ้าต้องสามารถที่จะปิดและยึดอย่างแน่นหนา ข้อจำกัดของการใช้ UV ในการฆ่าเชื้อ คือ สามารถฆ่าเชื้อได้เฉพาะผิวสัมผัสซึ่งจะต้องกลับด้านทำให้มีโอกาสในการหลุดรอดของเชื้อได้ ปัจจุบันแนะนำให้ใช้การอบโอโซนจะมีความครอบคลุมมากกว่า
การตรวจสอบติดตามถ้าเป็นไปได้เจ้าของควรจะลงมาตรวจอย่างสม่ำเสมอเพื่อความมั่นใจ เอกสารประกอบการอบรมสามารถดาวน์โหลดได้ในท้ายข่าว
คุณอุดมศักดิ์ แก้วจันทร์วงษ์ ฟาร์มหมูยโสดอทเน็ต จะนำเสนอในลักษณะของการปรับมาตรฐาน จัดวางระบบ GFM เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานต่างๆ เพื่อการป้องกันโรค และระบบ Biosecurity ที่เป็นระดับที่เหมาะสำหรับฟาร์มเปิดซึ่งถือว่าเป็นความสมบูรณ์ที่เราเรียกว่าฟาร์มเปิดในระบบปิด โดยประเด็นในการสัมมนาในวันนี้จะเป็นในเรื่องของมาตรฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของกรมปศุสัตว์ หรือ มกอช.ที่จะเป็นภาคบังคับ กับฟาร์มระดับความขนาดใหญ่ และขนาดกลาง แต่ในส่วนของผู้เลี้ยงเองมีหลายระดับ หลายมาตรฐาน แม้กระทั่งฟาร์มรายย่อยที่ปัจจุบันมีระบบ GFM ซึ่งสื่อให้เห็นว่าปัจจุบันเรามีมาตรฐานกับฟาร์มทุกระดับ แต่อย่างไรก็ตาม การปรับมาตรฐานให้สอดคล้องและเหมาะสม กับ งบประมาณ ผลที่ได้รับก็อยู่ในระดับที่สามารถป้องกันโรคได้โดยต้องมีความเข้มงวดเป็นหลัก เช่นเดียวกับที่ ดร.เมตตาได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้
นายสัตวแพทย์มาโนชญ์ วงศ์แวว นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการส่วนมาตรฐานการปศุสัตว์ สำนักงานปศุสัตว์เขต 3 ได้มานำเสนอการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีด้านปศุสัตว์ ตาม มกษ 6403/2565 พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ รูปแบบต่างๆ ที่สอดคล้องกับตามมาตรฐานดังกล่าวนี้ที่ประกอบไปด้วย
มาตรฐานสินค้าเกษตร
การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มสุกร(มกษ. 6403-2565)
1. ขอบข่าย
1.1 มาตรฐานสินค้าเกษตรนี้กำหนดการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มสุกรตามที่กำหนดนิยามไว้ในข้อ 2.1 ครอบคลุมองค์ประกอบฟาร์ม การจัดการฟาร์ม บุคลากร สุขภาพสัตว์ สวัสดิภาพสัตว์สิ่งแวดล้อม และการบันทึกข้อมูล เพื่อให้ได้สุกรท่ีมีความเหมาะสมในการนำไปเลี้ยง หรือนำไปใช้เป็นอาหารโดยคำนึงถึงความปลอดภัยอาหารสุขภาพสัตว์สวัสดิภาพสัตว์และสิ่งแวดล้อม
1.2 มาตรฐานสินค้าเกษตรนี้ใช้กับฟาร์มที่เลี้ยงสุกรที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sus scrofa ทั้งที่เป็นสุกรบ้านและสุกรป่า
2. นิยาม
ความหมายของคำที่ใช้ในมาตรฐานสินค้าเกษตรนี้มีดังต่อไปนี้
2.1 ฟาร์มสุกร (pig farm) หมายถึง สถานประกอบการที่เลี้ยงสุกรพ่อแม่พันธุ์สุกรอนุบาลหรือสุกรขุน อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน
- ข้อกำหนด
3.1 องค์ประกอบฟาร์ม
3.1.1 สถานที่ตั้ง
หลักการ
การเลือกสถานที่ตั้งเพื่อประกอบกิจการฟาร์มสุกรมีความสำคัญ ต้องคำนึงถึงการปนเปื้อนของอันตรายทางกายภาพ เคมีและชีวภาพจากสภาพแวดล้อม การคมนาคมที่สะดวก และการมีแหล่งนํ้าที่เหมาะสมและเพียงพอ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และสวัสดิภาพสัตว์สามารถขนส่งสุกร อาหารสัตว์เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆ ได้สะดวก และไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำใช้
3.1.1.1 มีหลักฐานแสดงการยินยอมให้ประกอบกิจการจากราชการส่วนท้องถิ่น
3.1.1.2 ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เส่ียงต่อการปนเปื้อนของอันตรายทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม แหล่งรวมขยะ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของสุกร และคน รวมทั้งสวัสดิภาพสัตว์ หรือมีมาตรการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
3.1.1.3 ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีเส้นทางการคมนาคมที่สามารถขนส่งสุกร อาหารสัตว์เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ต่างๆ ได้สะดวก ไม่อยู่ในบริเวณที่น้ำท่วมขังได้
3.1.1.4 มีแหล่งน้ำที่สะอาดและใช้เพียงพอ
3.1.2 ผังและลักษณะฟาร์ม
หลักการ
การวางผังฟาร์มและการจัดแบ่งพื้นที่ภายในฟาร์มอย่างเหมาะสม จะช่วยป้องกันการปนเปื้อน สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์สวัสดิภาพสัตว์และสิ่งแวดล้อม
3.1.2.1 มีพื้นที่ขนาดเพียงพอและเหมาะสมในการเลี้ยงสุกร ไม่หนาแน่นจนก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขภาพและสวัสดิภาพสัตว์
3.1.2.2 มีรั้วหรือแนวกั้นธรรมชาติที่สามารถควบคุมการเข้า-ออกของคนและป้องกันสัตว์อื่นจากภายนอกได้
3.1.2.3 มีการวางผังฟาร์มสุกรที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานอย่างถูกสุขลักษณะ กำหนดพื้นที่ปฏิบัติงานเป็นสัดส่วน เช่น พื้นที่เลี้ยงสัตว์พื้นที่เก็บอาหารสัตว์พื้นที่สำหรับแยกและรักษาสุกรป่วย พื้นที่รวบรวมขยะและมูล พื้นที่
ทําลายซาก และพื้นที่จําหน่ายสุกร จัดแบ่งพื้นที่อาคาร สำนักงานและที่พักอาศัยเป็นสัดส่วนแยกจากบริเวณเลี้ยงสัตว์
3.1.2.4 มีมาตรการในการป้องกันสัตว์ต่างๆ เข้าสู่พื้นที่ส่วนการผลิต และมีการควบคุมการเข้า-ออกของคนผ่านทางช่องทางเข้า-ออกที่กำหนด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้าม
3.1.3 โรงเรือน
หลักการ
โครงสร้างโรงเรือนที่แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ มีพื้นที่เพียงพอ และมีการจัดการให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงสุกร จะส่งผลดีต่อสุขภาพและสวัสดิภาพสัตว์
3.1.3.1 มีโครงสร้างแข็งแรง ถูกสุขลักษณะ มีการระบายอากาศที่ดีง่ายต่อการทําความสะอาดและบำรุงรักษา
3.1.3.2 มีพื้นที่เพียงพอในการเลี้ยงสุกร และมีสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือนเหมาะสมกับสายพันธุ์ ขนาด และอายุของสุกร
3.1.3.3 กรณีโรงเรือนปิดซึ่งมีการควบคุมสภาพแวดล้อม ได้แก่ อุณหภูมิความชื้น การระบายอากาศและแสงสว่างให้มีสัญญาณเตือนและมีมาตรการดำเนินการในกรณีอุปกรณ์อัตโนมัติไม่ทำงาน ไฟฟ้าดับหรือขัดข้อง
3.2 การจัดการฟาร์ม
3.2.1 คู่มือการจัดการฟาร์ม
หลักการ
คู่มือการจัดการฟาร์มสุกรที่มีรายละเอียดการปฏิบัติงานที่สำคัญของฟาร์มสุกร จะช่วยให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถนําคู่มือไปใช้ในการปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่กําหนดไว้อย่างถูกต้อง และช่วยให้การจัดการฟาร์มสุกรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3.2.1.1 มีคู่มือการจัดการฟาร์มที่แสดงรายละเอียดการปฏิบัติงานที่สำคัญภายในฟาร์ม ได้แก่
1) การเตรียมโรงเรือนก่อนนำสุกรเข้าเลี้ยง
2) การจัดการฟาร์ม
3) ระบบการเลี้ยงสุกร
4) การจัดการอาหารและน้ำสำหรับสุกร
5) การทำความสะอาดและบำรุงรักษาโรงเรือน และอุปกรณ์
6) การจัดการด้านสขภาพสุกร
7)การควบคุมสัตว์พาหะ
8)การจัดการด้านสุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อม
9)การจัดการด้านสวัสดิภาพสัตว์
10)การบันทึกข้อมูล
3.2.1.2 มีการจัดทำเอกสารสำหรับขั้นตอนและวิธีปฏิบัติงานที่สำคัญ
3.2.2 การจัดการอาหารและน้ำ หลักการการจัดการให้สุกรได้รับอาหารและน้ำที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อความ
ต้องการ จะส่งผลดีต่อสุขภาพและสวัสดิภาพสัตว์
3.2.2.1 ใช้อาหารสัตว์ที่มีีคุณภาพ ปลอดภัย และเหมาะสมสำหรับการเลี้ยงสุกร ตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558
3.2.2.2 ห้ามใช้สารต้องห้ามตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558
3.2.2.3 การผสมยาลงในอาหารสัตว์ให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกร แยกพื้นที่เก็บอาหารสัตว์ผสมยาออกจากพื้นที่เก็บอาหารทั่วไป และมีป้ายบ่งชี้
3.2.2.4 มีการตรวจสอบคุณภาพอาหารสัตว์ทางกายภาพเบื้องต้น
3.2.2.5 จัดภาชนะและอุปกรณ์ให้อาหารเหมาะสมกับอายุขนาด และจำนวนของสุกร และจัดวางในตำแหน่งที่สุกรทุกตัวเข้ากินอาหารได้
3.2.2.6 มีสถานที่เก็บอาหารสัตว์และวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สะอาด ระบายอากาศดีสามารถป้องกันความชื้น เชื้อราและสัตว์พาหะต่างๆ ได้โดยแยกออกจากสถานที่เก็บเครื่องมือ อุปกรณ์และสารเคมีเป็นพิษ
3.2.2.7 นำอาหารสัตว์ที่เก็บไว้ก่อนออกใช้ก่อน (first in - first out)
3.2.2.8 นํ้าที่ใช้ในฟาร์มได้รับการป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งที่เป็นอันตราย หรือมีมาตรการในการปรับปรุงคุณภาพก่อนนำมาใช้
3.2.2.9 มีน้ำสะอาดให้สุกรกินได้อย่างทั่วถึง
3.2.3 การจัดการโรงเรือน อุปกรณ์และการบำรุงรักษา
หลักการ
การจัดการโรงเรือน อุปกรณ์ให้สะอาด เป็นการลดการสะสมของเชื้อก่อโรค และการบํารุงรักษาโรงเรือนอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานจะช่วยให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยต่อสุกรและ
บุคลากร
3.2.3.1 ทำความสะอาดโรงเรือนและอุปกรณ์ให้ถูกสุขลักษณะ และบํารุงรักษาให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุกรและบุคลากร
3.2.3.2 นํามูลสัตว์ออกและทำความสะอาด ไม่ให้เกิดการหมักหมมภายในโรงเรือนและบริเวณรอบๆ
3.2.3.3 ภายหลังจากย้ายสุกรออกจากโรงเรือน ให้ทําความสะอาด ฆ่าเชื้อคอกและอุปกรณ์และปิดพักไว้ก่อนนำสุกรรุ่นใหม่เข้าเลี้ยง ตามระยะเวลาที่กรมปศุสัตว์กำหนด
3.2.3.4 มีมาตรการควบคุมและกำจัดสัตว์พาหะที่เหมาะสม
3.3 บุคลากร
หลักการ
บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถตามหน้าที่ความรับผิดชอบ มีสุขลักษณะส่วนบุคคลและสุขภาพดีจะช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสุกรได้รับการดูแลสุขภาพและสวัสดิภาพอย่างถูกต้อง
3.3.1 มีจํานวนบุคลากรเพียงพอ จัดแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างชัดเจน โดยคํานึงถึงจำนวนสุกรที่เลี้ยง
3.3.2 บุคลากรมีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับการปฏิบัติงาน บุคลากรที่ทําหน้าที่เลี้ยงสุกรต้องมีความรู้โดยได้รับการฝึกอบรม หรือการฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงานในการเลี้ยงสุกร
3.3.3 มีสัตวแพทย์ที่มีใบรับรองเป็นสัตว์แพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกรจากกรมปศุสัตว์
3.3.4 บุคลากรมีสุขลักษณะส่วนบุคคลที่ดีและได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี รวมถึงโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน ที่สำคัญ
3.3.5 มีมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อก่อโรคเข้าสู่ส่วนการผลิตผ่านทางบุคลากร เช่น การจัดเตรียมห้องอาบน้ำ เครื่องแต่งกายและรองเท้าสำหรับผู้ปฏิบัติงาน
3.3.6 บุคลากรที่เจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อซึ่งอาจปนเปื้อนสู่ระบบการผลิต ห้ามเข้าปฏิบัติงานภายในส่วนโรงเรือนเลี้ยงสุกร
3.4 สุขภาพสัตว์
3.4.1 การป้องกันและควบคุมโรค
หลักการ
มาตรการป้องกันและควบคุมโรค เช่น ความปลอดภัยทางชีวภาพ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่เหมาะสมและการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 มีความสำคัญต่อสุขภาพของสุกร ช่วยให้
สามารถป้องกันการแพร่กระจายและควบคุมเชื้อก่อโรคผ่านทางคนสัตว์ และยานพาหนะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.4.1.1 มีมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพในการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเหมาะสม ภายใต้การกำกับดูแลของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกร หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกร
3.4.1.2 มีมาตรการป้องกันโรคที่อาจมากับสุกรรุ่นใหม่ที่นำเข้าฟาร์ม
3.4.1.3 มีการป้องกันและควบคุมโรคที่มากับยานพาหนะ อุปกรณ์และบุคคลก่อนเข้า-ออกฟาร์ม รวมถึงมีการจดบันทึกการผ่านเข้า-ออกฟาร์มที่สามารถตรวจสอบได้
3.4.1.4 มีโปรแกรมการสร้างภูมิคุ้มกันโรค รวมถึงการกำจัดพยาธิภายในและภายนอก ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกร
3.4.1.5 กรณีที่เกิดโรคระบาดหรือสงสัยว่าเกิดโรคระบาดต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 และคำแนะนำของกรมปศุสัตว์
3.4.2 การบำบัดโรคสัตว์
หลักการ
การบำบัดโรคสัตว์จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกรเพื่อให้สุกรได้รับการตรวจวินิจฉัย การรักษา การป้องกันการเกิดโรคอย่างถูกต้องและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและสวัสดิภาพสัตว์รวมทั้งไม่เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค
3.4.2.1 การบําบัดโรคสัตว์ต้องอยู่ภายใต้การกํากับดูแลของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกรโดยปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ. 2545 และพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510
3.4.2.2 การใช้เข็มฉีดยาสุกร ต้องมีวิธีปฏิบัติงานในการป้องกันไม่ให้เข็มฉีดยาหักค้างในตัวสัตว์และมีมาตรการแก้ไขในกรณที่เกิดปัญหา
3.5 สวัสดิภาพสัตว์
หลักการ
การจัดการการเลี้ยงสุกรต้องคํานึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์เพื่อให้สุกรสามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ มีความเป็นอยู่ที่ดีีและไม่เกิดความทุกข์ทรมาน
3.5.1 เลี้ยงหรือดูแลให้สุกรมีความเป็นอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม มีสุขอนามัยที่ดีมีที่อยู่ อาหารและนํ้าอย่างเพียงพอ โดยเป็นไปตามพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรม และการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557
3.5.2 กรณีที่สุกรป่วย บาดเจ็บ หรือพิการ ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ให้ปฏิบัติอย่างเหมาะสมไม่ให้เกิดความทุกข์ทรมาน โดยการพิจารณาทำการุณยฆาตให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกรหรือบุคลากรที่ได้รับมอบหมายจากสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกร
3.6 สิ่งแวดล้อม
หลักการ
การจัดการซาก ขยะ ของเสีย และนํ้าเสียจากฟาร์มสุกรจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจึงต้องมีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง
3.6.1 จัดเก็บขยะมูลฝอยในภาชนะที่มี ฝาปิดมิดชิด นำไปกำจัดอย่างเหมาะสมและถูกสุขลักษณะ
3.6.2 มีวิธีการจัดการมูลฝอยติดเชื้อและขยะอันตราย แยกจากขยะทั่วไป
3.6.3 กำจัดและทำลายซากสุกรด้วยวิธีที่เหมาะสม โดยอยู่ในดุลยพินิจของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกร
3.6.4 มีระบบบําบัดนํ้าเสียเพื่อปรับปรุงคุณภาพของนํ้าทิ้ง โดยนํ้าทิ้งจากฟาร์มสุกรต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่าด้วยการกำหนดให้การเลี้ยงสุกรเป็นแหล่งกําเนิดมลพิษที่
จะต้องถูกควบคุมการปล่อยนํ้าเสียลงสู่แหล่งนํ้าสาธารณะหรือออกสู่สิ่งแวดล้อม และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่าด้วยมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทการเลี้ยงสุกร
3.6.5 มีการจัดการมูลสุกรและการป้องกันกลิ่นรบกวน
3.7 การบันทึกข้อมูล
หลักการ
การบันทึกและเก็บรักษาข้อมูลมีความสำคัญที่จะช่วยในการวิเคราะห์หาสาเหตุที่มาของปัญหาหรือข้อผิดพลาดในการจัดการ และตามสอบการทำงานในแต่ละขั้นตอนว่ามีความถูกต้องตามวิธีปฏิบัติที่กำหนดไว้
3.7.1 มีการบันทึกข้อมูลผลการปฏิบัติงานในขั้นตอนที่สําคัญในการจัดการฟาร์ม ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพสุกรและการควบคุมโรค การจัดการด้านการผลิต รวมถึงการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมดังนี้
1)ข้อมูลเกี่ยวกับตัวสุกร เช่น หมายเลข อายุ เพศ พันธุ์ประวัติการผสมพันธุ์การคลอดการได้รับวัคซีน และการรักษาพยาบาล
2)การจัดการอาหารและน้ำ เช่น แหล่งที่มาของอาหารและน้ำ การให้อาหารและน้ำ
3)การรับสุกรที่แสดงแหล่งที่มา
4)การจำหน่ายและกระจายสุกร
5)การเข้า-ออกของบุคคลและยานพาหนะ
6)การใช้สารเคมียาฆ่าเชื้อ หรือวัตถุอันตราย
7)การใช้วัคซีนและยาสัตว์ เช่น ใบส่งยาสัตว์ ใบมอบหมายการใช้ยาสัตว์
8)ข้อมูลบุคลากร เช่น ประวัติบุคลากร ประวัติการฝึกอบรมหรือการถ่ายทอดความรู้หน้าที่ความรับผิดชอบ และผลการตรวจสุขภาพประจำปี
9)บันทึกที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดน้ำเสีย
3.7.2ให้เก็บรักษาบันทึกข้อมูลเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี
ตอนท้ายของการอบรม มีการทดสอบจากการอบรม ซึ่งผู้เข้าร่วมอบรม ต่างจริงจังการอบรมในครั้งนี้อย่างมาก จึงสะท้อนให้เห็นว่าอีกไม่นาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีการผลิตสุกรเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ หลังกลุ่มฟาร์มครบวงจร เริ่มเข้ามาใช้ระบบฟาร์มสมาชิกครอบคลุมมากขึ้น ที่จะเป็นผลดีต่อการดูแลกันและกันมากขึ้น