Sustainability of Thai Pig via Standard price structure

อุตสาหกรรมสุกรไทย ถึงเวลาใช้เกณฑ์โครงสร้างราคาปลีกเนื้อแดง ผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้บริโภค ยั่งยืนไปด้วยกัน ที่แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ทุกตัว
20 มกราคม 2568
         ผ่านมา 6 เดือน กับความพยายามสร้างความยั่งยืนให้กับวงการสุกรไทย หลังมีความเคลื่อนไหวของผู้เลี้ยงสุกรทุกภูมิภาค หลังเสียหาย ขาดทุนอย่างหนัก จากวิกฤตหมูเถื่อนที่ยังบ่อนเซาะวงการสุกรไทย กับการกลายเป็นราคาอ้างอิงราคาตลาดค้าปลีกเนื้อสุกร และย้อนกลับมากระทบราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2566

          สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศมีการเคลื่อนไหวเพื่อจี้ให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่

1. 30 สิงหาคม 2565 นัดแถลงจี้รัฐ เร่งปราบ “หมูเถื่อน” ลักลอบนำเข้า

https://www.thansettakij.com/economy/trade/538148

2. 9 พฤษภาคม 2566 ผู้เลี้ยงหมูกว่า 2,000 คน บุกหน้าทำเนียบรัฐบาลร้องนายกฯจัดการปราบหมูเถื่อน
https://www.prachachat.net/local-economy/news-1285712

3. 11 กรกฎาคม 2567 สมาคมหมูฯ ยื่นข้อเรียกร้องห้างค้าปลีกค้าส่ง จัดระเบียบตั้งราคาขายไม่กระทบเกษตรกร
https://mgronline.com/news1/detail/9670000059171#google_vignette

4. 9 มกราคม 2568 – สมาคมหมูหวังทั้งห่วงโซ่ดูแลกันทั้งผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้บริโภค โดยจัดสัดส่วนการตั้งราคาขายปลีกชิ้นส่วนเนื้อแดงส่วนสะโพกและเนื้อไหล่ ที่ 1.7 เท่าของราคาต้นทุนการผลิตสุกรขุนหน้าฟาร์ม
https://www.swinethailand.com/17451359/pork-retail-price-support-consumer 

          การเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดเมื่อ 11 กรกฎาคม 2567 ถือว่าเป็นการขอความร่วมมือ กับ กลุ่มห้างค้าปลีก ที่ถือว่าผู้เลี้ยงสุกรไทยอยู่ในสถานะหลังพิงกำแพง หากกลุ่มห้างค้าปลีกดังกล่าวยังคงตั้งราคาจำหน่ายปลีกเนื้อแดงชิ้นส่วนหลัก (ส่วนสะโพกและไหล่) ต่ำกว่า 1.7 เท่าจากต้นทุนการผลิตสุกร จากเดิม 2 เท่า เนื่องจากรูปแบบการจำหน่ายเนื้อสุกรเดิม ก่อนมีการลักลอบนำเข้า เป็นรูปแบบที่ผู้จำหน่ายปลีกรายย่อยทั่วไป จำหน่ายให้กับผู้บริโภคในราคา 2 เท่าของราคาสุกรหน้าฟาร์ม 
          การดำเนินการในครั้งนี้ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เพื่อให้เกษตรกรรายย่อย รายกลาง ที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่าผู้เลี้ยงสุกรรายใหญ่ สามารถดำรงอาชีพอยู่ได้ เพื่อการกระจายรายได้ของพลเมืองอย่างทั่วถึง 
 

          คำถามระหว่างการประชุมคณะผู้ทรงคุณวุฒิ Pig Board เมื่อ 15 มกราคม 2568 เรื่องพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เพื่อหาคำอธิบายจากที่ประชุม ที่ยังไม่มีการให้รายละเอียดจากที่ประชุม จึงได้มีการไปหาคำอธิบายจากที่ปรึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐกิจ โดยได้คำอธิบายดังนี้
          พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เป็นกฎหมายป้องกันการผูกขาด หรือ Antitrust Law ในประเทศไทยแยกเป็น 2 ฉบับ โดยมี พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 อีก 1 ฉบับ ปรับปรุงแก้ไขมาจากฉบับเดิม คือ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 โดย พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ปรับปรุงแก้ไขมาจาก พระราชบัญญัติกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีกระทรวงพาณิชย์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และ ให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
          พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 ก่อนที่จะปรับปรุงจาก พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 แยกมาและปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการป้องกันการผูกขาดซึ่งบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด พ.ศ. 2522 เช่นกัน
          กฎหมายต่อต้านการผูกขาดของไทย ทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 และ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 เป็นชุดกฎหมายที่ควบคุมแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจเพื่อส่งเสริมการแข่งขันและป้องกันพฤติกรรมที่ขัดขวางการแข่งขัน เป้าหมายของกฎหมายต่อต้านการผูกขาด คือ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจแข่งขันกันอย่างยุติธรรม ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อ ผู้ผลิต ผู้ค้า และ ผู้บริโภค

กับคำถาม....

มาตรา 29 ของพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560

ตีความคำถาม...

มาตรา 29 กับ เหตุการณ์ที่เกิดในอุตสาหกรรมสุกร

          จากเงื่อนไขที่บัญญัติในวรรคแรก “โดยจงใจที่จะทำให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการใด”
          เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติมาตรานี้ จะเข้าลักษณะที่ห้างค้าส่ง ค้าปลีกมีการตั้งราคาต่ำเกิน ซึ่งเกิดผลกระทบกลับมายังราคารับซื้อหน้าฟาร์มที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตในช่วงที่ผ่านมา ที่สอดคล้องกับ หนังสือของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ที่ ส.ผ.ส.2567/0501 เรื่อง ขอเสนอแนวทางการตั้งราคาจำหน่ายปลีกชิ้นส่วนเนื้อสุกร เพื่อไม่ให้สร้างผลกระทบกับราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ในข้อ 3 และข้อ 4 ซึ่งสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติต้องเข้มงวดกับแนวทางที่กำหนดไว้ เพราะมีการอ้างอิงต้นทุนการผลิตสุกรรายไตรมาส ของคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตสุกร จึงจำเป็นที่จะต้องผลักดันเพื่อให้เกิดบรรทัดฐานที่จะต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลจาก Pig Board ที่แต่งตั้งโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ พ.ศ.2549
          โดย กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ และ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติจะทำหนังสือให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ(กกร.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่มีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ถือว่าเป็นการทำให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือ ทำให้ปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการใดก็ได้ ตามมาตรา 9(6) เพื่อนำมาตรา 29 มาบังคับใช้และมีผล

มาตรา 9 ให้ กกร. มีอำนาจหน้าที่ในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ดังต่อไปนี้
(6) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ถือว่าเป็นการทำให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการตามมาตรา 29 วรรคสอง

          โดยหลังการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ และ วิธีการดังกล่าว จะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และนำมาบังคับใช้ กับ ตลอดห่วงโซ่ได้ ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงการกำหนดราคารับซื้อสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มเพื่อไม่ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงขาดทุน ซึ่งการบังคับใช้ดังกล่าวในกรณีผู้ค้าหน้าฟาร์ม จะต้องมีการผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ค้าที่จะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งจะไปเชื่อมโยงปัญหาการรับเข้าเชือดที่สร้างปัญหาให้กับผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย ที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติจะต้องเข้าไปผลักดันและลดข้อจำกัดการรับเข้าเชือดที่อาจต้องมีการออกกฎหมายรองตามพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2559 ต่อไป
          ที่ปรึกษาท่านดังกล่าว ให้รายละเอียดต่ออีกว่า การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมใดๆ ที่เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ ควรนำ Economic Indicator หลักๆ พิจารณามาประกอบ และคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้น เช่น ปัญหา GDP Growth ต่ำสำหรับประเทศไทย ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน หนี้สินเกษตรกร ตลอดจนถึงการกระจายตัวทางเศรษฐกิจที่ต้องทั่วถึง เพราะไทยมี GDP เติบโตต่ำแถมกระจุกตัว นานวันเศรษฐกิจที่อาศัยการหมุนรอบจะติดขัดด้วยความสามารถในการซื้อที่ลดลงของพลเมืองโดยรวม จนถึงขนาดที่จะต้องใช้หนี้มาหมุน หรือ Leverage ซึ่งควรจะเกิดกรณีการลงทุนเพื่อผลตอบแทน ไม่ใช่กู้มาเพื่อการบริโภค ที่สร้างปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนแบบที่เกิดในปัจจุบันในประเทศไทย

 

Visitors: 454,350