NE PIC SUBMITTED MOC

เฮียตงหมูอีสานยื่นศุภจี-รมว.พาณิชย์ถึงตัว จี้ปรับโครงสร้างการกำหนดราคาสินค้าสุกรและเกษตร เปิดหน้าใหม่เกษตรกรไทยทั้งระบบ

18 ตุลาคม 2568 ศรีสะเกษ - นายกผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยื่นหนังสือกับมือศุภจี รมว.พาณิชย์  ออกมาตรการพยุงราคาหมูด้วยระบบการจัดโครงสร้างราคาสมดุลไม่กระจุกตัว

          นายชยุต รุ่งพัฒนาชัยกุล นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้กล่าวถึงปัจจุบันราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มตกต่ำอย่างมาก ปัจจุบันมีราคายังอยู่ในระดับ 65-70% ของต้นทุนการผลิต แม้ดีขึ้นมาในช่วงสัปดาห์ที่จะถึง 20-27 ตุลาคม 2568 แต่ยังต่ำกว่าต้นทุนมาก

          ตลอดห่วงโซ่อาหารที่ทำจากสุกรมีการเกลี่ยมาร์จิ้นไม่เหมาะสม อาหารปลายทางก็ยังเหมือนเดิมและมีแต่จะสูงขึ้น ที่ผ่านมาเราอ้างกลไกตลาดแต่ในความเป็นจริงเป็นตลาดที่ถูกครอบงำ เพราะฟาร์มขนาดกลางถึงใหญ่ยังคงขายผลผลิตในจำนวนเดิมมาตลอด ไม่ได้ลดปริมาณลงเลย มีแต่ราคาที่ลง

          วันนี้จึงขอให้รัฐบาลหันมาจัดโครงสร้างราคาใหม่ เพราะนโยบายรัฐบาล 4 เดือนนี้ คือ รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ลดการเข้ามาสวมสิทธิ์โครงสร้างราคาสินค้าเกษตรในประเทศ 

          การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรให้มากขึ้น เป็นเพียงโอกาสที่จะรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรได้เท่านั้น เพราะการส่งออกจะเป็นการส่งออกจากผู้ส่งออกที่ไม่ใช่เกษตรกรโดยตรง  การเกลี่ยมาร์จิ้นมีโอกาสที่ไม่ลงมาถึงเกษตรกร ถ้ามีการกำหนดราคาหน้าฟาร์มทั้งปศุสัตว์ และพืชไร่ โดยปรับราคาสูงต่ำกว่าจากราคากลางตามคุณภาพมาตรฐานสินค้าจะเป็นการกระตุ้นให้เกษตรกรมีการพัฒนาการประกอบอาชีพมากขึ้น โดยต้องขจัดการสวมสิทธิ์ของสินค้าลักลอบให้ได้

          สุกรขุนมีชีวิตเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปัจจุบันขาดเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ทำให้ผู้ประกอบการหลายฟาร์มมีการกระจายความเสี่ยง ความเสียหายแบบไร้การกระจายความเสี่ยงจึงตกอยู่ที่ผู้เลี้ยงสุกรเพียงอย่างเดียวที่พึ่งพาราคาสุกรหน้าฟาร์มเป็นหลัก ที่กลไกราคาถูกบิดเบือนได้ง่ายจากการไม่มีการกำกับดูแลการประกอบการของพ่อค้าคนกลาง ไม่ต่างจากสินค้าเกษตรทั่วไป

          เรื่องเร่งด่วนออกมาตรการพยุงราคาสุกรหน้าฟาร์ม จึงขอให้ท่านพิจารณาใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อหยุดความเสียหาย โดยกำหนดราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มไม่ให้ต่ำกว่าต้นทุน และกำหนดราคาจำหน่ายปลีกเนื้อสุกรส่วนเนื้อแดง (สะโพก หัวไหล่ ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 1.7 เท่าของราคาสุกรขุนหน้าฟาร์ม ที่ผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศ โดยสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติปรับลดตัวเลขลงจากเดิม 2.0 เท่า ที่จะทำให้ราคาจำหน่ายปลีกชิ้นส่วนสุกรพื้นฐานย่อมเยาลง สนองนโยบายการดูค่าครองชีพของรัฐบาล) เนื่องจากการตั้งราคาที่ไม่สอดคล้องจะกดดันกันกลับไปมา โดยต้นทุนไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 80 บาทต่อกิโลกรัม จะได้ราคาสุกรเนื้อแดงที่ 136-140 บาทต่อกิโลกรัม

     โดยมาตรการนี้สามารถนำมาใช้เป็นนโยบายรัฐบาลเพื่อการแก้ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำได้อย่างถาวร โดยการกำหนดราคาขายขั้นต่ำให้กับเกษตรกรทุกแขนงโดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก โดยปรับสูงต่ำตามการกำหนดราคากลาง และปรับเพิ่มลดตามเกณฑ์คุณภาพของแต่ละผลิตภัณฑ์ เช่น

1.1.   การหักน้ำหนักตามช่วงความชื้นแบบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1.2.   การเพิ่มลดราคาตามค่าความหวานแบบอ้อย

1.3.   การเพิ่มลดราคารับซื้อตามคุณภาพซากสุกร ฯลฯ

 

          การวัดผล GDP ของรายสินค้าทางการเกษตร ควบคู่ไปกับการจัดทำดัชนีราคาสินค้าเกษตร ต่อ ต้นทุน รายสินค้า(Benefit Cost Ratio) เป็นรายเดือน รายไตรมาส จะสร้างความแม่นยำในการบริหารจัดการราคาและต้นได้อย่างมีประสิทธภาพ  

          การขึ้นทะเบียนผู้ค้าสินค้าเกษตร ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 โดยสามารถใช้เครือข่ายของพาณิชย์จังหวัดในการรับขึ้นทะเบียนผู้ค้าสินค้าทางการเกษตร จะเป็นกรอบการควบคุมที่ดีที่ได้เสนอไปในวันนี้

          สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายกับผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และพลิกฟื้นโครงสร้างของการประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม จัดโครงสร้างที่เป็นธรรม สร้างการกระจายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อให้พลเมืองของประเทศเดินหน้าไปสู่สังคมที่ทุกคนอยู่ดีกินดี ใช้กระแสเงินในระบบเศรษฐกิจที่กำหนดกรอบเพื่อสร้างสมดุลของรายได้ อำนาจการซื้อของทุกกลุ่มจะผลักดันเศรษฐกิจเอง ไม่ไปสร้างภาระทางการคลังของประเทศที่ต้องใช้งบประมาณมาอุดหนุน 

 

Visitors: 504,068