Negative Outlook from Moody to Thailand

มูดี้ส์มองเห็นอะไร กับ ความเสี่ยงด้านการคลังของไทย

ทันโลก ทันกระแส วารสารสุกรฉบับที่ 112  
โดย วิชาการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

          การปรับมุมมองทางด้านเศรษฐกิจและการคลังที่เป็นความเสี่ยงสูงขึ้น ของ Moody`s Investors Service

เมื่อเมษายน 2568 ที่นายกรัฐมนตรีของไทยให้ข่าวว่าเป็นแค่มุมมอง เสมือนหนึ่งว่ามองไม่เห็นเหมือนอย่างที่ Moody`s มอง ซึ่งปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การใช้งบประมาณแผ่นดินกลับไร้การประเมินก่อนใช้ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ละอย่างว่าจะได้ผลอย่างไรบ้าง

          จึงเป็นเรื่องที่จะต้องทำตัวเลขให้ดูว่า Moody`s เขาเห็นอะไร และอะไรคือความเสี่ยงที่รัฐบาลมองไม่เห็น เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำนโยบายในลักษณะที่ไม่มีการประเมินผลได้ผลเสียอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการออกมาในลักษณะของการเป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านการคลัง

           ภาพใหญ่ที่ได้เริ่มต้นไว้ ที่โยงภาพความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ไปโฟกัสที่ตัวเลขการเติบโตของ GDP ที่มีอัตราการเติบโตที่น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน  โดย Moody`s มองว่าการเติบโตที่ลดลงยังคงคุกคามการปรับสมดุลทางด้านการคลังซึ่งล่าช้าอยู่แล้ว ภายใต้กรอบการคลังระยะกลาง หรือ Medium-Term Fiscal Framework

          ความเสี่ยงอาจบรรเทาลงได้หากรัฐบาลดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้และปฏิรูปโครงสร้างเพื่อกระตุ้นการเติบโตในระยะยาวได้สำเร็จ 

          ประเด็นที่มีผู้ยื่นคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท เป็นการโยกงบประมาณจำนวน 35,000 ล้านบาทมาเข้างบกลางแล้วนำไปเป็นมาที่มาใช้แจกประชาชน ที่ผิดตามพระธรรมนูญมาตรา 144 มีอะไรบ้าง

          มาตรา ๑๔๔ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลง หรือ แก้ไขเพิ่มเติมรายการ หรือ จำนวนในรายการมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

          (๑) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้

(๒) ดอกเบี้ยเงินกู้

(๓) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย

ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้

ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของ จำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เห็นว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคสอง ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืน บทบัญญัติตามวรรคสอง ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล ถ้าผู้กระทำการ ดังกล่าวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น แต่ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี เป็นผู้กระทำการหรืออนุมัติให้กระทำการหรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง ของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มิมติ และ ให้ผู้กระทำการดังกล่าวต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย

เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดจัดทำโครงการหรืออนุมัติหรือจัดสรรเงินงบประมาณโดยรู้ว่ามีการดำเนินการ อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ถ้าได้บันทึกข้อโต้แย้งไว้เป็นหนังสือหรือมีหนังสือ แจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบ ให้พ้นจากความรับผิด

การเรียกเงินคืนตามวรรคสามหรือวรรคสี่ ให้กระทำได้ภายในยี่สิบปีนับแต่วันที่มีการจัดสรร งบประมาณนั้น

ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้รับแจ้งตามวรรคสี่ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการสอบสวนเป็นทางลบโดยพลัน หากเห็นว่ากรณีมีมูล ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการต่อไปตามวรรคสาม และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและศาลรัฐธรรมนญ หรือบุคคลใดจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้แจ้งมิได้

 การประเมินผลตอบแทนจากโครงการในรูปตัวเลขที่รัฐไม่ได้นำเสนอ

          ประเด็นที่คำนวณเป็นตัวเลขที่รัฐบาลไม่ได้มีการประเมินโครงการว่าได้เสียอย่างไร เป็นเรื่องที่แปลกใจที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจทำไมไม่มาร่วมวิเคราะห์ให้เห็นว่าผลได้ผลเสีย ที่สามารถออกการประเมินตัวเลขให้เห็นได้ เพราะการใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลเพื่อประสงค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ขาดการวางแผนมาก่อน นอกจากไม่ได้ความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจแล้ว ยังสร้างภาระดอกเบี้ยทุกๆ ปี ตลอดชั่วลูกชั่วหลาน ตราบใดที่ประเทศยังมีหนี้สาธารณะค้างอยู่ในระดับสูงมาก

          ยกตัวอย่างกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน Financial Institutions Development Fund หรือ FIDF  เป็นนิติบุคคลมีทรัพย์สินและหนี้สินแยกต่างหากจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2528 ตามโครงการตั้งแต่ 4 เมษายน 2527 (ทรัสต์ 4 เมษา)  โดยมีหนี้ก้อนใหญ่ที่เกิดในช่วงวิกฤตการณ์การเงินปี 2540  ที่จัดการโดย ปรส. หรือ องค์การเพื่อกรปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (Financial Sector Restructuring Authority) เป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นโดย พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พุทธศักราช 2540 เพื่อกำกับดูแลสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินกิจการทั้ง 58 แห่ง เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้สุจริตรวมทั้งการชำระบัญชีของสถาบันการเงิน แต่ ปรส. ไม่ได้แยกหนี้ดีและหนี้เสียออกจากกัน จนทำให้ทรัพย์สินของสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการ มูลค่าประมาณ 851,000 ล้านบาท ถูกประมูลขายไปเพียง 190,000 ล้านบาท สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติมหาศาล เพรากองทุนฟื้นฟูรับภาระด้านเงินฝากในรูปตั๋ว P/N หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่เป็นหนี้สินของบริษัทเงินทุน ส่วนทรัพย์สิน 100% ประมูลขายได้เพียง 22.32% อีกประมาณ 77% จึงเป็นภาระหนี้ของกองทุนฟื้นฟู

          ปี 2551 มีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ที่มารับบทบาทการค้ำประกันแก่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินแทน ปี 2555 หนี้ก้อนนี้ได้ย้ายมาอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมียอดคงเหลือในขณะนั้น 1.14 ล้านล้านบาท  โดยมีภาระดอกเบี้ยประมาณปีละ 45,000 ล้านบาท  คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ 3.947% ตอนเกิดหนี้กองทุนฟื้นฟูจำนวนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าต้องใช้เวลานาน 25 ถึง 30 ปี จนกว่าจะสะสางหนี้ก้อนนี้หมด

          เงินที่ลดลงของกองทุนมาจากเงินที่เก็บจากธนาคารพาณิชย์ในอัตราร้อยละ 0.46 ของฐานเงินรับฝาก (FIDF Fee)  ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ยอดหนี้เงินต้นลดลงต่อเนื่องคงเหลือรวม 5.5 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะชำระหนี้เงินต้นหมดภายในปี 2574

          FIDF Fee ร้อยละ 0.46 ของฐานเงินรับฝาก แม้จะเก็บจากธนาคารพาณิชย์ แต่สุดท้ายก็มาลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ดี เช่น อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ปัจจุบันประมาณ 0.50% ถ้าไม่มีภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูจำนวนนี้ อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ปัจจุบันจะเป็น 0.96 -1.00% ประชาชนที่มีเงินฝากเป็นผู้รับภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูจำนวนนี้กันทั่วหน้า

          ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตด้านเศรษฐกิจที่เป็นที่มาของการเพิ่มหนี้สาธารณะของประเทศ หนี้เหล่านี้จะคงอยู่กันชั่วลูกชั่วหลาน แม้บางทีอาจจะมีการอ้างว่าชำระหนี้เจ้าหนี้รายใดรายหนึ่งไปแล้วแต่ก็เป็นเพียงแค่เปลี่ยนเจ้าหนี้โดยที่ยอดหนี้สาธารณะเหล่านั้นก็จะยังคงอยู่และมีภาระดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายทุกปี เพราะยอดคงค้างหนี้สาธารณะไม่ลดลง และเพิ่มขึ้นทุกปี

โครงการดิจิทัล วอลเล็ต ภาระทางการคลังใหม่ชั่วลูกชั่วหลาน

          โครงการดิจิทัล วอลเล็ต ที่ประเมินกันว่าจะสร้างภาระทางการคลังใหม่ที่รัฐบาลดันทุรังเดินหน้าแบบไม่มีการประเมินโครงการ ดังนั้นจึงจะขอทำตัวเลขให้ดูว่าผลได้ผลเสียการออกนโยบายดิจิตอล ทั้งเฟส 1 ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 มีจำนวน14.5 ล้านคน ที่เป็น "กลุ่มเปราะบางและคนพิการ" วงเงินรวม 145,552 ล้านบาท และเฟส 2 ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 โดยช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีผู้ได้รับสิทธิ์จำนวน 3-4 ล้านคน ใช้งบประมาณ 40,000 ล้าน มีผลได้ผลเสียอย่างไร โดยวิธีประเมินจะเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง

 

  1.        การจัดทำงบประมาณแผ่นดิน โดยการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน จะมีทั้งประมาณการรายรับ งบประมาณการรายจ่าย โดยงบประมาณการรายจ่าย ที่ยังแยกเป็น

1.1.   เงินส่งใช้ต้นเงินกู้

1.2.   ดอกเบี้ยเงินกู้

1.3.   เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย

  1.        ผลได้ที่คิดว่าจะได้รับ ที่ใช้การอ้างตัวเลข และคำบรรยายสรรพคุณต่างๆ นานา ตามประสานักการเมืองประเทศไทย ก็เทียบไม่ได้กับการประเมินผลโดยออกมาเป็นตัวเลข โดยนักวิเคราะห์ทางการเงินสามารถดำเนินการประเมินผลออกมาเป็นผลได้ผลเสียโดย

2.1.   ประเมินจาก GDP ที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งกรณีเป็นโครงการแจกเงินไปใช้จ่าย ก็ต้องดูตามหมวดหมู่อยู่ดี หลักๆ จะอยู่ที่ หมวดการบริโภคภาคเอกชน เพราะเป็นเงินที่แจกเพื่อการบริโภค ในขณะที่หมวดการลงทุนภาครัฐจะมีการเพิ่มที่มากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการแจกตามโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ก็จะถ่วงน้ำหนักให้จำนวนมูลค่า ที่ถ่วงน้ำหนักทำให้อัตราการเติบโต เพิ่มขึ้น

2.2.   คำนวณรายได้ของการแจกดิจิตัล เฟสที่ 1 กรณี GDP ที่เพิ่มขึ้นอัตราการเพิ่มเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องเทียบอัตราการเพิ่มเป็นเปอร์เซ็นต์ของไตรมาสก่อนที่จะนำมาเทียบ เช่น ตามที่ต้องการคำนวณ การบริโภคภาคเอกชน ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 เท่ากับ + 3.4% ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เท่ากับ + 3.4%  ผลต่างของอัตราที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 0 เมื่อนำ 0 ไปคูณ GDP ไตรมาสที่เป็นตัวเทียบ ก็จะได้ GDP ที่เกินปกติเท่ากับ 0 บาท ถือว่าการแจกเงินดิจิตัล เฟสที่ 1 ไม่ได้อะไรเลย   

2.3.   คำนวณรายได้ของการแจกดิจิตัล เฟสที่ 2  จากการบริโภคภาคเอกชน ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เท่ากับ + 3.4% ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ + 2.6%  ผลต่างของอัตราที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ -0.8 ไม่มีส่วนเกินปกติที่จะนำมาใช้คำนวณ  ถือว่าการแจกเงินดิจิตัล เฟสที่ 2 ก็ไม่ได้อะไรเลย เช่นกัน   

2.4.   คำนวณอย่างไร ถ้าหมวดการบริโภคภาคเอกชน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ที่สามารถนำมาคำนวณได้ เช่น ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เท่ากับ + 3.4% ถ้าสมมุติว่าไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ + 3.5%  ผลต่างของอัตราที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 0.1% สามารถใช้ประมาณการมูลค่า GDP ปี 2568 หารด้วย 4 จะได้เท่ากับ 20,785,100÷ 4 = 5,196,275 ล้านบาท คูณด้วย 0.1% จะได้ GDP ที่เพิ่มเกินปกติ เท่ากับ 5,196.27 ล้าน คูณด้วย Revenue to GDP ปี 2568 จำนวน 13.79% จะได้เท่ากับ 716,56 ล้านบาท

ที่มา : กองนโยบายการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย

สรุปผลการคำนวณให้เห็นถึงความเสียหายของโครงการแจกเงิน

  1.        โครงการดิจิทัล วอลเล็ต เฟสที่ 1 ไตรมาส 4 ปี 2567 วงเงิน 145,552 ล้านบาท

  1.        โครงการดิจิทัล วอลเล็ต เฟสที่ 2 ไตรมาส 1 ปี 2568 วงเงิน 40,000 ล้านบาท

          เท่ากับนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท แต่เรียกโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ดังกล่าวไม่ได้สร้าง GDP ให้เพิ่มขึ้นเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง  ถ้ารัฐบาลไทยยังคงบริหารการคลังการในลักษณะนี้ซึ่งจะสอดคล้องกับที่ Moody`s Investors Service ได้วิเคราะห์ไว้ และได้สรุป เมื่อมองไปข้างหน้า มูดี้ส์ระบุว่า

  •       การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในระยะใกล้เนื่องจากแนวโน้มเชิงลบ
  •       อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอาจกลับมาคงที่ได้หากประเทศไทยมีการเติบโตและประสิทธิภาพการคลังที่แข็งแกร่งกว่าที่คาด
  •       ในทางกลับกัน การปรับลดอันดับอาจเกิดขึ้นได้หากการเติบโตที่อ่อนแอยังคงดำเนินต่อไป หรือหากการพัฒนาทางการเมืองขัดขวางการดำเนินนโยบายและประสิทธิผลของฝ่ายบริหาร อย่างมีนัยสำคัญ

 

ประเมิน  เมื่อคำนวณตามข้อ 2 จะเกิดรายได้แผ่นดินในลักษณะที่เติบโตเกินปกติ ไม่มีอะไรที่จะไปสร้างการเติบโตในอนาคตได้เลย ได้ดังนี้

  1.       โครงการดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 1 จำนวน   -0-    ล้านบาท
  2.       โครงการดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 2 จำนวน   -0-    ล้านบาท

คราวนี้มาถึงการคำนวณภาระเงินแผ่นดินที่จะต้องรับภาระกันทั้งประเทศแบบชั่วลูกชั่วหลาน แบบรัฐบาลที่ทำโครงการไม่รับรู้อะไรเลย จนกว่ายอดคงค้างหนี้สินสาธารณะจะหมดไปเป็นศูนย์ กรณีการโยกงบประมาณอื่นๆ แล้วนำมาใช้แจกเงิน จะบอกว่า “ไม่ได้กู้” ไม่ได้เลย เพราะการนำเงินจำนวนหนึ่งที่ได้รับการจัดสรร หรือโยกมา ถ้านำไปชำระเงินกู้จะดีเสียกว่าที่จะนำไปอ้างว่ากระตุ้นเศรษฐกิจแต่ไปใช้จ่ายกับโครงการที่ประเมินออกมาแล้วไม่ได้เกิดผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะกลางหรือระยะยาวแต่ประการใด ซึ่งกรณีนี้ประเทศจะเสียโอกาสในการชำระต้นเงินกู้ และลดภาระดอกเบี้ยตามต้นเงินจำนวนดังกล่าวทันที

วิเคราะห์การผลได้-ผลเสีย กับโครงการแจกเงิน 10,000 บาท

  1.       เฟสที่ 1 วงเงิน 145,552ล้าน เป็นการนำเงินอนาคต(เพิ่มหนี้สาธารณะ)มาใช้อย่างไม่วิเคราะห์ผลได้ผลเสีย เทียบกับต้นทุนทางการเงินโดยใช้เกณฑ์พันธบัตรรัฐบาลที่ออกในช่วงนี้ที่ 2.49% คิดเป็นภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อปีเท่ากับ 3,624 ล้านบาท
  2.       เฟสที่ 2 วงเงิน 40,000 ล้าน คิดเป็นภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อปีเท่ากับ 1,000 ล้านบาท

 

 

 เท่ากับทั้ง 2 เฟสของโครงการแจกเงิน 10,000 บาทแก่ประชาชนตามเงื่อนไขแต่ละครั้ง จะเป็นภาระดอกเบี้ยจ่าย 4,624 ล้านบาทต่อปี โดยตราบใดที่ยอดคงค้างหนี้สาธารณะไม่ลดลงจนหมดไป ภาระหนี้ทั้งเงินต้น และ ดอกเบี้ยจ่ายจะเป็นภาระไปชั่วลูกชั่วหลาน เพราะหนี้สาธารณะของประเทศไทยมีเพิ่มขึ้นทุกปี โดยไปล่าสุดตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 มีงบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ ให้ตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ เป็นจำนวน 410,253,675,900 บาท คิดเป็น 14.309% ของประมาณการรายรับปี2568 ที่ 2,867,000 ล้านบาท

จากการวิเคราะห์ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้น กับ โครงการของรัฐที่ไม่มีการประเมินอย่างรอบครอบชัดเจนถึงผลที่จะได้รับ มีแต่การใช้คำบรรยายสรรพคุณโครงการ เช่น พายุหมุนทางเศรษฐกิจบ้าง แต่เมื่อมาพิสูจน์ผลได้กลับกลายเป็นโครงการศูนย์เหรียญ ชนิดที่ไม่มีใครออกมารับผิดชอบอะไรเลย อีก 10 ปีข้างหน้า ภาระเงินต้น และ ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest สูตรดอกเบี้ยทบต้น คือ A = P (1 + r)^n) กับเงินก้อนนี้จาก 185,552 ล้านบาท(145,552+40,000ล้านบาท) สะสมเป็นประมาณ 237,290 ล้านบาท นี่จึงเป็นการสรุปของ Moody`s Investors Service ถึงโอกาสการปรับลดอันดับอาจเกิดขึ้นได้หากการเติบโตที่อ่อนแอยังคงดำเนินต่อไป หรือหากการพัฒนาทางการเมืองขัดขวางการดำเนินนโยบายและประสิทธิผลของฝ่ายบริหาร อย่างมีนัยสำคัญ

อ้างอิง : ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานบริหารหนี้สินสาธารณะ, Thai Publica,วิกิพีเดีย, https://www.humansoft.co.th/th/blog/digital-wallet-phase-2

Visitors: 492,576