Thai Pig Still Big Loss
หมูปรับราคาบวก 4 บาท แต่ยังขาดทุนตัวละ 1,100 - 1,800 บาท
11 พฤศจิกายน 2568 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ – นายกหมูขอสื่อรายงานข่าวให้ครบว่าหมูยังขาดทุนอยู่ ตัวละ 1,100-1,800 บาท หลังวันจันทร์ล่าสุด 10 พฤศจิกายนขยับราคาบวกทุกภูมิภาค 4 บาท
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ตกใจหลังจากเห็นสื่อทีวีช่อง 3 โดยคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา และสื่อสิ่งพิมพ์ประโคมข่าวในเชิงหมูไข่ไก่ ขึ้นราคา สร้างความตื่นตระหนกให้กับสาธารณชน ทั้งๆ ที่กลุ่มหมูและไก่ไข่ขาดทุนอย่างหนัก เช่นกัน

นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้กล่าวต่ออีกว่า “ในช่วงตั้งแต่กันยายนเป็นต้นมา กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรและสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อให้สังคมรับรู้ว่าหมูกำลังประสบปัญหาการขาดทุน ทั้งโครงการจำหน่ายเนื้อสุกรคุณภาพ 2 กิโล 100 บาทเพื่อกระตุ้นการบริโภค และการตัดวงจรการผลิตลูกสุกรเพื่อทำหมูหัน เป็นกิจกรรมเชิงกระตุ้น สร้างความตระหนัก เพื่อหวังให้สังคมเข้ามาดูแลและช่วยเหลือกัน จึงทำให้ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มสามารถปรับตัวติดต่อได้ต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ แต่ ณ ราคาปัจจุบันวันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2568 (62-69 บาทต่อกิโลกรัม) ยังคงเป็นราคาที่ขาดทุนอยู่ในระดับ 1,100 บาทถึง 1,800 บาทต่อตัว ที่ต้นทุน 80 บาทต่อกิโลกรัม จึงอยากให้สื่อสาธารณะทั้งทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์นำเสนอข้อมูลด้านต้นทุนให้กับสาธารณชนทราบด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำเติมเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรให้นานกว่านี้ เพราะทุกครั้งที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติรายงานราคาช่วงนี้จะลงรายละเอียดว่าราคาปัจจุบันเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนการผลิตทุกครั้ง”

ในขณะที่มีข่าวนายกรัฐมนตรีเบรกการขึ้นราคาน้ำตาลทราย 3 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล (สอน.) ประกาศใหม่กลับมาคงราคาเดิม โดยการประกาศขึ้นราคาของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะต้นทุนการเพาะปลูกอ้อยของเกษตรกรชาวไร่อ้อยมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ที่จะไปผูกโยง กับ ราคาน้ำตาลที่เป็นตัวย้อนกลับที่จะให้เป็นผลได้ของเกษตรกร
จากข่าวดังกล่าวนักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจให้ความเห็นว่า รัฐบาลกำลังบริหารราชการและเศรษฐกิจที่ย้อนแย้ง กับ เป้าประสงค์ของการผลักดันเศรษฐกิจที่เรียกว่า Quick Big Win กับสารพัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังมีข่าวนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกุล ขอความช่วยเหลือจากประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ให้รับซื้อข้าวจากไทยถึง 5 แสนตัน ซึ่งแท้จริงแล้วผู้ได้ประโยชน์กลุ่มแรกจะเป็นผู้ส่งออก โดยมีความคาดหวังว่าจะยังผลให้ราคาข้าวในประเทศขึ้น ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ทำไมในกรณีการขึ้นราคาน้ำตาลก็จะผูกโยงไปถึงราคาอ้อยที่เกษตรกรจะได้เพิ่มขึ้น ที่จะขึ้นตามต้นทุนการผลิตทำไมนายกอนุทิน ต้องมาเบรค เพราะคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลปรับราคาน้ำตาลอย่างมีเหตุมีผลอยู่แล้ว
ประเทศไทยทุกรัฐบาลจะติดกับดักในเรื่องของการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ที่ควรสร้างศักยภาพในการสร้างรายได้ ไม่ใช่มากดดันราคาสินค้าจากผู้ผลิต ซึ่งจะมีการโจมตีกันไปมาระหว่างพรรคการเมืองว่าแก้ปัญหาข่าวของแพงไม่ได้ โดยหารู้ไม่ว่าการให้สินค้าเกษตรมีราคาสูงกว่าต้นทุนในระดับที่เหมาะสม จะเป็นการสร้างเม็ดเงินจากการขายได้กำไรในระบบเศรษฐกิจในกลุ่มของเกษตรกรที่เป็นฐานใหญ่ที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในทุกระดับจากกำลังการซื้อ แต่ทุกรัฐบาลมีการบริหารเศรษฐกิจแบบย้อนแย้ง จึงไม่แปลกใจที่อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยติดลบมาเป็นระยะเวลา 5 เดือนติดต่อ โดยอัตราเงินเฟ้อมาจากราคาสินค้าในกลุ่มต่างๆ ที่นำมาคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index :CPI) โดยราคาสินค้าที่ลดลงจนถึงขาดทุน เมื่อนำมาคำนวณ GDP (ปริมาณ x ราคา) ก็มีโอกาสที่ GDP จะต่ำลง

ในเรื่องดังกล่าวอยากให้คณะรัฐบาลโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจพิจารณาเรื่องนี้ให้มาก เพราะประเทศไทยมีปัญหาด้านการคลังจากการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เมื่อพิจารณาถึงผลได้กับภาระดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายเพิ่มเทียบกันไม่ได้เลย จึงทำให้ปัจจุบันหนี้สินสาธารณะของไทยพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้ง Moody Investor’s Service และ Fitch Ratings ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ Negative Outlook ในปีนี้ ซึ่งมีการปรับมุมมองดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความเสี่ยงทางการคลังที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการใช้งบประมาณของฝ่ายการเมืองที่ไม่ก่อประโยชน์เพียงทำให้เศรษฐกิจดูเหมือนคึกคักชั่วครู่ แต่สิ่งที่ได้แน่นอน คือ ภาระหนี้ และดอกเบี้ยจ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มทุกปีตามยอดคงค้างหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น แม้จะอ้างว่าใช้หนี้หมดแล้วในบางโครงการที่อื้อฉาวในการรับจำนำสินค้าเกษตรชนิดหนึ่ง ที่สร้างผลขาดทุนถึง 985,000 ล้านบาท ซึ่งในความเป็นจริง แค่เปลี่ยนเจ้าหนี้เท่านั้น โดยโครงการดังกล่าวได้สร้างภาระดอกเบี้ยจ่ายให้กับประเทศประมาณปีละ 25,000-35,000 ล้านบาท แบบชั่วลูกชั่วหลาน เป็นยอดหนี้ที่เป็นรองเพียงหนี้กองทุนฟื้นฟูจากวิกฤต 2540 ที่มียอด 1,124,427 ล้านบาท
โดยหนี้สาธารณะคงค้าง ณ กันยายน 2568 อยู่ที่ 12,226,290.33 ล้านบาท คิดเป็น 64.82% ของ GDP (ฐานปีล่าสุด 18,862,951.12 ล้านบาท)
