มารู้จัก BCG Economy ที่ภาคปศุสัตว์อาหารสัตว์ต้องรีบขานรับ
มารู้จัก BCG Economy ที่ภาคปศุสัตว์อาหารสัตว์ต้องรีบขานรับ
เรียบเรียงโดย สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
ในช่วงเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในการประชุมเพื่อพิจารณาแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) โดยที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งผลของการพัฒนาดังกล่าวต้องแลกด้วยความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ เกิดของเหลือทิ้งที่สร้างมลพิษ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสุขภาพ จึงต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมาอยู่ในลักษณะ “ทำมากได้น้อย” เนื่องจากไม่สามารถสร้างมูลค่าให้กับทรัพยากรได้เต็มศักยภาพ เกิดการพัฒนาแบบกระจุกตัว และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เป็นอย่างมาก
ย้อนหลังไปกว่า 1 ปีแล้ว กับการผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามแก้ปัญหาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับจากการขาดนวัตกรรม ในยุคที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้ที่เป็นหัวหอกปฏิบัติการเรื่องBCG เพื่ออรรถาธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับ BCG Model ที่เขามองว่าเป็นโมเดลสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน มีแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าระดับเดิมก่อนที่จะมีวิกฤต COVID-19 โดยมองว่า “การพัฒนาประเทศไทยจะเริ่มจากศูนย์ไม่ได้ เราต้องพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่ และเศรษฐกิจ BCG มีอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว ใน 4 สาขา มาจากความหลากหลายทางชีวภาพ 2 สาขา คือ 1.อาหารและการเกษตร 2.สุขภาพและการแพทย์ และมาจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม 2 สาขา คือ 1.พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ 2.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์”
โมเดลเศรษฐกิจใหม่ออกมาภายใต้ชื่อ BCG Model โดยคาดหวังว่า โมเดลตัวนี้จะเป็นสิ่งที่จะทำให้ “ไทยแลนด์ 4.0” เป็นรูปธรรมได้จริง และสามารถตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่เชื่อมโยงกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้ที่เป็นหัวหอกปฏิบัติการเรื่องนี้ ได้เคยอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับ BCG Model ที่เขามองว่าเป็นโมเดลสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
4 ธุรกิจมูลค่าเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท
BCG Model เป็นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อมๆ กันเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
ฉะนั้น 4 สาขาที่สำคัญเป็นจุดแข็งที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ณ วันนี้ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน(อิง GDP ปี 2561) รวมกัน 3.4 ล้านล้านบาท คิดเป็น 21% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีการจ้างงาน 16.5 ล้านคน แต่เมื่อนำ BCG Model มาขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ที่เรียกว่า STI หรือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้ง 4 สาขานี้จะเพิ่มมูลค่าได้ถึง 1 ล้านล้านบาท เป็น 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 24% ของ GDP จะมีการจ้างคนเพิ่มอีก 20 ล้านคน
นั่นคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า นโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นรูปธรรม เพราะวิธีการขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (STI) ในครั้งนี้จะใช้กลไกของมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย ที่มีองค์ความรู้อยู่ไปทำงานร่วมกับเอกชนและชุมชน นอกจากนั้นจะต้องมีการลงทุนจากต่างประเทศด้วย
“ต่อไปสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนต้องนำเอาบริษัทที่มีองค์ความรู้มาลงทุนในประเทศไทย ไม่ใช่เอาบริษัทอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นบริษัทที่สามารถมาต่อยอดให้กับประเทศไทย ในด้านของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมได้”
PIC 2 |
ยกระดับการเกษตรของไทย
ถามว่า ชาวบ้านจะได้ประโยชน์อะไร ชาวนาจะกลายเป็นสมาร์ท ฟาร์มเมอร์ หรือเกษตรอัจฉริยะได้อย่างไร ดร.สุวิทย์ยกตัวอย่างให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยจะเป็นผู้เข้าไปหาชาวบ้าน และชุมชน โดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสนับสนุนให้ เพราะการพัฒนาภายใต้โมเดลนี้จะเดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
มีตัวอย่างโครงการที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทำงานร่วมกับผู้ผลิต ผู้ส่งออก และเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ นำเทคโนโลยีชีวภาพในการปรับปรุงพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีโรงเรือนและระบบการจัดการน้ำและปุ๋ย จะสามารถเพิ่มการผลิตและคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ และจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกเมล็ดพันธุ์ให้เป็น 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 50% ของมูลค่าการส่งออกในปัจจุบัน
หรือโครงการยกระดับอุตสาหกรรมนมไทย นำการพัฒนาอาหาร การจัดการฟาร์ม การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยจะมีการนำเทคโนโลยีการห่อหุ้มและกักเก็บ มาใช้ในการแปรรูปน้ำนม
โครงการสาธิตและถ่ายทอดเทคโนโลยีถังเลี้ยงปลาระบบน้ำหมุนเวียน น้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วสามารถหมุนเวียนกลับไปใช้เลี้ยงปลาในถังได้ต่อไป สามารถใช้คนเพียงคนเดียวในการดูแลบำรุงรักษา ลดปริมาณการใช้น้ำต่อวันลงมากกว่า 95% ลดโอกาสติดเชื้อโรคจากภายนอก อัตราการรอดของปลาอยู่ในระดับ 90-100% ผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่ใช้พื้นที่น้อยลง ประหยัดพลังงาน เพิ่มความหนาแน่นของปลาจากบ่อดินที่ 900 กิโลกรัมต่อไร่ ไปเป็น 64,000 กิโลกรัมต่อไร่
เมื่อเห็นตัวอย่างข้างต้นแล้ว นั้นคือ การทำเกษตรของไทยจะไม่ใช่เกษตรดั้งเดิมอีกต่อไป ต่อไปต้องเป็นระบบเกษตรแม่นยำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทรัพยากร
ขายสินค้าจาก “ตัน” เป็น “กรัม”
ดร.สุวิทย์กล่าวว่า ปัจจุบันภาคเกษตรเกี่ยวข้องกับคนมากกว่า 12 ล้านคน แต่มากกว่า 90% ของพื้นที่เพาะปลูกของประเทศไทยปลูกพืชเพียง 6 ชนิด คือ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด และปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นสินค้าที่รัฐต้องเข้าไปอุดหนุนทุกปี
ดังนั้น การยกระดับผลผลิตทางการเกษตร จะสร้างความแตกต่าง และมูลค่าเพิ่ม เช่น เนื้อวัวทั่วไปมีราคาจำหน่าย 250 บาทต่อกิโลกรัม แต่เนื้อวัวโพนยางคำราคา 750 บาทต่อกิโลกรัม จึงเป็นวิธีการเปลี่ยนรูปแบบจากการ “ผลิตมากแต่สร้างรายได้น้อย” ไปสู่การผลิตสินค้าพรีเมียมที่ “ผลิตน้อยแต่สร้างรายได้มาก”
PIC 3 |
ต่อไปภาคการเกษตรต้องใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในการควบคุมการเพาะเลี้ยง เพาะปลูกที่ให้ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิผลของวัตถุดิบการเกษตรให้สูงขึ้น เปลี่ยนจากการ “ขายเป็นตัน” เป็นการ “ขายเป็นกิโลกรัม” หรือกรัม เป็นอีกแนวทางที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น สารสกัดจากข้าวราคา 2,400 บาทต่อกิโลกรัม และสารสกัดแคปไซซินจากพริก 30,000 บาทต่อกิโลกรัม เป็นต้น
หรือมีตัวอย่างในปี 2560 ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ประมาณ 400,000 ล้านบาท คาดว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะเพิ่มเป็น 1.4 ล้านล้านบาท เมื่อประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ ในแต่ละปีประเทศไทยนำเข้าผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรมรวมกันกว่า 100,000 ล้านบาท แต่ถ้าต่อไปประเทศไทยมีการพัฒนาตรงนี้ก็จะลดค่าใช้จ่ายออกนอกประเทศ ได้มหาศาล
พัฒนาพลังงานรวยมหาศาล
สำหรับเรื่องพลังงาน พบว่าประเทศไทยนำเข้าพลังงาน 60% ของความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศ ขณะที่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานทดแทนในระดับสูง เนื่องจากมีผลผลิตทางการเกษตร ขยะ และของเสียจากกระบวนการผลิตจำนวนมาก รวมถึงพลังงานจากแสงอาทิตย์
จึงเอื้อต่อการผลิตเป็นพลังงานทดแทนให้เพิ่มขึ้นจาก 15.5% ในปี 2561 เป็น 30% ของปริมาณการใช้พลังงานภายในปี 2579
ขณะที่การคิดค้นผลิตภัณฑ์ชีวภาพ จะสามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากปิโตรเลียมได้ มีการคาดการณ์ว่าตลาดผลิตภัณฑ์ชีวภาพจะเพิ่มจาก 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2563 เป็น 487,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2567
เป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในการสร้างมูลค่าเพิ่มอีกหลายเท่าตัว เช่น ชานอ้อยกิโลกรัมละ 1 บาท เมื่อพัฒนาเป็นสารประกอบที่ใช้ในการผลิตเครื่องสำอางและอาหาร มูลค่าจะเพิ่มเป็นกิโลกรัมละ 260 บาท และเพิ่มเป็นกิโลกรัมละ 1,000 บาท เมื่อพัฒนาเป็นสารประกอบในการผลิตยา หรือใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพลาสติกชีวภาพ (Bioplastic)
PIC 4 |
หรือการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากภาคอุตสาหกรรมหรือการผลิตก๊าซชีวภาพ ไปใช้ในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายที่สามารถนำชีวมวลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอเมทานอล (Biomethanol) ที่ใช้ในการผลิตไบโอดีเซล รวมทั้งใช้เป็นโครงสร้างเริ่มต้น (Building Block) ในการผลิตสารเคมี หรือชีวเคมีมูลค่าสูงหลายชนิด
วิธีการข้างต้นเป็นการปรับเปลี่ยนจากระบบ “เศรษฐกิจเชิงเส้นตรง” (Linear Economy) คือใช้ทรัพยากรผลิตสินค้า ใช้งานและกำจัด มาเป็นระบบ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) ได้อย่างสมบูรณ์ผ่านกระบวนการผลิตสินค้า ใช้งาน และนำกลับมาใช้ใหม่
ท่องเที่ยวไทยรูปแบบใหม่
ในด้านของการนำ BCG MODEL มาพัฒนาการท่องเที่ยว ดร.สุวิทย์กล่าวว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังประเทศไทยมากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของโลก แต่รายได้ 80% กระจุกตัวอยู่เพียง 8 จังหวัด ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับความเสียหายกระทบต่อวิถีชีวิต วัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น มีการแย่งชิงทรัพยากรจากคนในพื้นที่
จึงต้องมีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่โดยกระจายแหล่งท่องเที่ยวสู่เมืองรอง จึงเป็นแนวทางด้วยการบริหารจัดการที่ดี การให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (Sustainable Tourism) การชูอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ เชื่อมโยงกับจุดแข็งของประเทศ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ การท่องเที่ยวเชิงความรู้และยกระดับการท่องเที่ยวมูลค่าสูง
นอกจากนี้ การพัฒนาระบบ Public Payment Gateway สำหรับการ ท่องเที่ยวเพื่อให้ได้ข้อมูลการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเพื่อนำมาใช้ในการวางแผนบริหารจัดการการท่องเที่ยวยุคใหม่
ดร.สุวิทย์กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญในอนาคต BCG ต้องอยู่บนฐานดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น internet of Things, Big Data, AI จะต้องนำมาให้อยู่ในกระบวนการตั้งแต่การสร้างวัตถุดิบจนถึงการเพิ่มมูลค่า ในกระบวนการอาหารและการเกษตร การแพทย์ การท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้ ประเทศไทยมีการเริ่มพัฒนาพวกนี้แล้วแต่ยังสะเปะสะปะ เมื่อรวบมาบริหารจัดการและใช้องค์ความรู้จะเปลี่ยนสิ่งที่เคยเห็น
สำหรับการขับเคลื่อน BCG MODEL ต่อจากนี้ ดร.สุวิทย์ ระบุว่าอยู่ระหว่างหารือนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการระดับนโยบาย ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้ BCG Model เป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนประเทศไทยในศตวรรษที่ 21
PIC 5 |
นายกฯ ดัน BCG Economy เป็นนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทย หวังเพิ่ม GDP อีก 1 ล้านล้านบาท ใน 6 ปี
โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "BCG" หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่พัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศไทยคือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นการเชื่อมโยงหลักคิดเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป็นการสานพลังของจตุภาคีทั้งภาคประชาชน เอกชน หน่วยงานภาครัฐ และเครือข่ายต่างประเทศ โดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทำหน้าที่บูรณาการการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) จากฐานความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพและวัฒนธรรม
กิจกรรมหลักภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย
- อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา เพิ่มพูนทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม
- บริหารจัดการ การใช้ประโยชน์และบริโภค อย่างยั่งยืน
- ลดและใช้ประโยชน์ของทิ้งจากกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ
- สร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดห่วงโซ่มูลค่า ตั้งแต่ภาคเกษตรที่เป็นต้นน้ำ จนถึงภาคการผลิตและบริการ และ
- สร้างภูมิคุ้มกัน พึ่งพาตนเอง และเพิ่มสมรรถนะในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 อยู่บนพื้นฐานของ 4 + 1 ประกอบด้วย 4 สาขายุทธศาสตร์ คือ
- เกษตรและอาหาร
- สุขภาพและการแพทย์
- พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ
- การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปี 2561 รวมกัน 3.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีการจ้างแรงงานรวมกัน 16.5 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการจ้างงานรวมของประเทศ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
“ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG มีศักยภาพเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็น 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 6 ปีข้างหน้า และการรักษาฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมดุลระหว่างการมีอยู่และใช้ไปเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ BCG Model คือ เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ประชาชนมีรายได้ดี คุณภาพชีวิตดี รักษาและฟื้นฟูฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้มีคุณภาพที่ดี ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”
คณะกรรมการบริหารโมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์
ธรรมชาติไม่ใช่เพียงทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตที่ใช้แล้วหมดไป แต่ธรรมชาติจะเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและทุกสรรพสิ่งบนโลก เป็นพื้นฐานของความอยู่ดีกินดีของมนุษย์รวมถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำตามหลักการหมุนเวียน
ยุทธศาสตร์ที่2: การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่
ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้นการตอบสนองความต้องการในแต่ละพื้นที่เป็นอันดับแรก ใช้ประโยชน์จากความเข้มแข็งของ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” มาต่อยอดและยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น
ยุทธศาสตร์ที่ 3: ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
นำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมายกระดับประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสียในกระบวนการผลิตให้เป็นศูนย์ การหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ หรือการนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ยกระดับมาตรฐานและให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นลักษณะเศรษฐกิจแบบ “ทำน้อยได้มาก” แทน
ยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
เน้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปเพิ่มศักยภาพของชุมชน ผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต/บริการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯได้เห็นชอบกรอบแผนยุทธศาสตร์โมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ยกเป็น “วาระแห่งชาติ” สำหรับการดำเนินวิถีชีวิตใหม่หลังการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (Post COVID-19 Strategy) พร้อมให้นำแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ด้วย
“ความท้าทายสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้า คือ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การระบาดของโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ การแปรปรวนของภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดลงของทรัพยากร ด้วยเหตุนี้การพัฒนาและขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะสามารถสร้างการพัฒนาอย่างสมดุลมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และยังเปลี่ยนแรงกดดันหรือข้อจำกัดเป็นพลังในการขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดการเร่งรัดพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัว และการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว”
PIC 6 |
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมอาหาร ที่ภาคปศุสัตว์ อาหารสัตว์ต้องขยับตัว
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของโลกส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่สำคัญ คือ เทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทตั้งแต่ภาคการเกษตรซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของการผลิตอาหาร ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีกลุ่มหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (robotics and AI) ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีด้านเซ็นเซอร์และการตรวจวัด ระบบอินเตอร์เนตของสรรพสิ่ง (Internet of things, IOTs) เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ระบบโรงเรือนและวัสดุปลูกแบบใหม่ ทำให้การผลิตอาหารถูกควบคุมได้ด้วยระบบอัตโนมัติ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ในปัจจุบันระบบฟาร์มอัจฉริยะหรือระบบการปลูกพืชแบบแนวตั้ง (vertical farm) ได้รับการพัฒนาและมีการประยุกต์ใช้ไปทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิอากาศและภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร ทำให้มีพื้นที่ในการผลิตอาหารเพิ่มของโลกมีมากขึ้น ในขณะเดียวกันพื้นที่เดิมที่มีการใช้ประโยชน์ในการผลิตอาหารก็ประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตอาหารลดลง ซึ่งเทคโนโลยีกลุ่มต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ เทคโนโลยีดิจิทัลยังเข้ามามี
บทบาทสำคัญในกระบวนการผลิตและแปรรูปอาหารของโลก ทั้งการประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติแทนมนุษย์ลดโอกาสการสัมผัสและปนเปื้อนของอาหาร รวมทั้งการประยุกต์ใช้ระบบตรวจวัดที่แม่นยำและระบบการคำนวณข้อมูลขนาดใหญ่ (big data analytics) ช่วยควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหารให้มีความสม่ำเสมอ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการติดตามและวางแผนการขนส่งอาหาร (logistics) การเก็บรักษาและการกระจายผลิตภัณฑ์อาหาร การบริหารจัดการ supply chain รวมไปถึงการสร้างระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) เพื่อตรวจสอบอาหารตั้งแต่ต้นทางการผลิตไปจนถึงมือผู้บริโภค นอกจากนี้ การนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างเต็มรูปแบบจะช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารสามารถวางแผนการผลิตให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและวัตถุดิบได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด
ตัวอย่างที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นรูปแบบ BCG ในต่างประเทศ
PIC 7 |
ไมโครซอฟท์ พัฒนาโครงการที่ชื่อว่า FarmBeats
บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของโลกจะกลายเป็นเกษตรกรอันดับหนึ่งของสหรัฐ ด้วยการครอบครองที่ดินเพื่อทำเกษตรกว่า 600,000 ไร่ แล้ว บริษัทดิจิตอลยักษ์ใหญ่และเป็นบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดของโลกล้วนแล้วแต่กำลังลงทุนในภาคเกษตรและอาหารแล้วทั้งสิ้น
ไมโครซอฟท์ พัฒนาโครงการที่ชื่อว่า FarmBeats นำเสนอเทคโนโลยีการเกษตรที่ควบคุมผ่านระบบคลาวด์ของไมโครซอฟท์ เพื่อการทำฟาร์มที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยการตรวจสอบและวิเคราะห์สภาพของดินน้ำ ข้อมูลพื้นฐานของพืชผลการเกษตร และข้อมูลภูมิอากาศที่ทันสมัย บริษัทนี้ยังจัดทำโครงการ Microsoft4Afrika โดยร่วมกับ AGRA เพื่อให้คำแนะนำและชุดเทคโนโลยีสำหรับการเกษตรใน เคนยา ไนจีเรีย รวันดา กานา แทนซาเนียยู กันดา มาลาวี และเอธิโอเปีย
PIC 8 |
แอปเปิ้ล ร่วมมือกับ Agworld ใช้ Apple Watch พัฒนา “การเกษตรแม่นยำ”
แอปเปิ้ล ร่วมมือกับ Agworld พัฒนา “การเกษตรแม่นยำ” ใช้ Apple Watch เป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับการจัดการฟาร์ม เช่น ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับพืชไร่ ประวัติการเพาะปลูกในแปลงเกษตรกร การเงิน/บัญชีฟาร์ม การแจ้งเตือน พร้อมคำแนะนำของนักปฐพีวิทยาเกี่ยวกับคุณสมบัติของดิน ข้อมูลภาคสนามเพื่อใช้ในการตัดสินใจสำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยว ตอนนี้ Apple watch ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจำหน่ายแล้วในสหรัฐอเมริกาออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ และชิลี แอปเปิ้ลยังได้ออก Resolution app ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์การจัดการฟาร์มบนคลาวด์ มีแผนที่ฟาร์มเพื่อบันทึกและจัดเก็บเหตุการณ์ และรายละเอียดการทำงานแต่ละวันในฟาร์ม
PIC 9 |
อเมซอนซื้อ WholeFood ใช้ Amazon Web Service (AWS) และ Farmobile นำเสนอเทคโนโลยีการเกษตรที่แม่นยำ
อเมซอนยักษ์ใหญ่ ที่มีฐานข้อมูลบนคลาวด์ใหญ่ที่สุดของโลก เพิ่งซื้อกิจการ WholeFood ในราคา 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐและลงทุนมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐในกิจการรวบรวมผลิตทางการเกษตรทั้งในอินเดียและออสเตรเลีย อเมซอนยังมี Amazon Web Service (AWS) นำเสนอเทคโนโลยีการเกษตรที่แม่นยำจากการบริหารและจัดการข้อมูลเกี่ยวกับการเกษตรจากทั่วโลก ตอนนี้ผู้ที่ใช้ AWS ได้แก่ Indian Farmers Fertiliser Cooperative Limited (IFFCO) โครงการ WeFarm และร่วมกับบริษัทยันมาร์ของญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาการปลูกผักแบบไม่ใช้ดินในเรือนกระจก ทั้งในญี่ปุ่นเอง และเวียดนาม อเมซอนยังมีบริการ Farmobile เพื่อช่วยเกษตรกรให้สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากการทำเกษตรสำหรับการขายผลิตผลในราคาที่ดีและช่วงเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งการสร้างรายได้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
PIC 10 |
FACEBOOK เปิดตัวแอปบนมือถือที่ให้คำแนะนำแก่เกษตรกรรายย่อยเกี่ยวกับเทคนิคการทำฟาร์มที่แม่นยำ
เฟซบุ๊ก ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ลงทุน 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน Reliance Jio ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของอินเดีย Jio เปิดตัวแอปบนมือถือที่ให้คำแนะนำแก่เกษตรกรรายย่อยเกี่ยวกับเทคนิคการทำฟาร์มที่แม่นยำ และช่วยเหลือพวกเขาในการตัดสินใจ โดยใช้ด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกพืช การให้น้ำ และการควบคุมศัตรูพืช
PIC 11 |
GOOGLE เพื่อจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับข้อมูลสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อมและการเกษตร
กูเกิ้ล ยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาข้อมูลและแพลตฟอร์มภูมิสารสนเทศกำลังร่วมมือกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับข้อมูลสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อมและการเกษตร ความสำเร็จของพวกเขาที่ได้พิสูจน์แล้วเกี่ยวกับแอพด้านแผนที่ก่อนหน้านี้ เชื่อว่าจะทำให้กูเกิ้ลกลายเป็นเพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่เกี่ยวกับการทำฟาร์มได้ไม่ยาก
PIC 12 |
Alibaba เดินหน้าไปสู่การบุกเบิกค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์
อาลีบาบา ยักษ์ใหญ่ของจีนกำลังเดินหน้าไปสู่การบุกเบิกค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ไปพร้อมกับ พวกเขาลงทุนไปแล้วกว่า 12.7 พันล้านเหรียญสหรัฐเกี่ยวกับร้านค้าปลีก และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการซื้อกิจการค้าปลีกยักษ์ใหญ่ Auchan ของฝรั่งเศสอีก 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทนี้ยังเข้าไปซื้อหุ้น 57% ในบริษัท Milk New Zealand Dairy เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถส่งนมมากกว่า 9,500 ลิตรต่อสัปดาห์เพื่อลูกค้าชาวจีน
เมื่อยักษ์ใหญ่ดิจิตอล “Go เกษตร” พวกเขาไม่ได้มีเพียงทุนขนาดใหญ่ที่พร้อมจะกลืนกินกิจการเกี่ยวกับเกษตรตั้งแต่ต้นทางเท่านั้น แต่การ “ผูกขาด” ข้อมูลขนาดใหญ่เอาไว้ในมือ จะทำให้พวกเขามีอิทธิพลในการกำหนดแบบแผนเกษตรกรรม ระบบการกระจายอาหารทั้งหมดทั้งในแบบออนไลน์และออฟไลน์ และความสามารถในการเรียนรู้พฤติกรรมและความคิดเกี่ยวกับการบริโภคของทุกคนในโลกได้อีกด้วย
การมุ่งหน้าสู่เกษตรกรรมและอาหารของยักษ์ใหญ่ดิจิตอลนี้ จะนำไปสู่การปฏิวัติครั้งใหญ่ในระบบอาหารของโลก แต่การปฏิวัตินี้จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรและผู้บริโภค หรือเพื่อผลประโยชน์และการรวมศูนย์ของบรรษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้กันแน่?
PIC 13 |
และนี่คือภาพอนาคตที่ประเทศไทยต้องเต็มที่กับ BCG Economy อย่างจริงจัง ทั้ง 4 สาขายุทธศาสตร์ ที่จะนำมาเริ่มต้น คือ 1) เกษตรและอาหาร 2) สุขภาพและการแพทย์ 3) พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4) การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ภาคปศุสัตว์ไทยกำลังมีแนวคิดที่จะจับมือภาครัฐร่วมผลักดันให้เกิดขึ้น ตามแนวนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ที่ต้องทำกันอย่างจริงจัง มิฉะนั้นประเทศไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง...ซะเอง
อ้างอิง : กรมประชาสัมพันธ์, บางส่วนจาก Digital control : How Big Tech moves into food
and farming (and what it means) โดย GRAIN, January 2021