เคล็ด (ไม่ลับ) การสร้างฟาร์ม ขยายฟาร์มอย่างมืออาชีพ
เคล็ด (ไม่ลับ) การสร้างฟาร์ม
ขยายฟาร์มอย่างมืออาชีพ
ในภาวการณ์ปัจจุบันที่สุกรมีราคาดีมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าเกษตรกรหลายราย เริ่มสนใจอยากขยับขยายฟาร์มเพื่อรองรับกับความต้องการของตลาด และเงื่อนไขราคาที่ดึงดูดให้ลงทุน จึงอยากจะหยิบยกประเด็นเรื่องการขยายฟาร์มมาเล่าสู่กันฟัง เพราะว่าสิ่งที่เกษตรกรควรจะต้องคำนึงเป็นปัจจัยแรกนั่นก็คือการเลือกทำเลการเลี้ยง หรือ การเตรียมสถานที่เลี้ยงนั่นเอง เนื่องจากหากมีการเตรียมการไว้ไม่ดีแล้ว ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและก่อปัญหาความขัดแย้งกับชุมชนโดยรอบฟาร์ม โดยเฉพาะถ้าฟาร์มสุกรเองขาดการวางแผนด้านการจัดการของเสียที่ดี อาจทำให้เกิดปัญหาน้ำเสีย มีกลิ่นเหม็นและแมลงวันรบกวนชุมชนใกล้เคียง อาจทำให้คุณภาพแหล่งน้ำเสื่อมโทรมลงจนไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และในท้ายที่สุดก็นำมาซึ่งปัญหาการร้องเรียน การฟ้องร้องจนเกิดเป็นคดีความตามที่เป็นข่าวอยู่เนืองๆ
ผลสุดท้ายการขยับขยายฟาร์ม แทนที่จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจ กลับกลายเป็นการก่อปัญหารบกวน เกษตรกรเอง เพราะขาดการวางแผนที่ดีนั่นเอง
ในบทนี้จึงอยากเสนอข้อแนะนำเบื้องต้น สำหรับเกษตรที่มีความประสงค์จะก่อสร้างโรงเรือนแห่งใหม่ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้เกษตรกร นำไปเป็นแนวคิดประกอบการพิจารณาตั้งฟาร์มสุกรดังนี้
- การพิจารณาทำเลที่ตั้งของฟาร์มที่เหมาะสม
1.1 ไม่ควรอยู่ในพื้นที่ที่จะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ เช่น พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือพื้นที่คุ้มครอง หรือเป็นพื้นที่ที่มีความลาดชันโดยเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 35 เป็นต้น
1.2 อยู่ในพื้นที่เขตเหมาะสมสำหรับการเลี้ยงสัตว์ของกรมปศุสัตว์
1.3 ไม่ขัดกับข้อกำหนดของผังเมือง ซึ่งกรมโยธาธิการ และผังเมืองได้ประกาศเขตผังเมืองไว้ในรายงานเพื่อการศึกษาจัดฐานข้อมูล และวิเคราะห์เพื่อการวางผังอนุภาคกลุ่มจังหวัด
1.4 ฟาร์มอยู่ห่างจากชุมชน แหล่งน้ำสาธารณะ โรงฆ่าสัตว์ และตลาดนัดค้าสัตว์ระยะทางมากกว่า 5 กิโลเมตร
- เกษตรกรต้องขออนุญาตประกอบกิจการเลี้ยงสุกร
ตามที่ราชการส่วนท้องถิ่นได้กำหนดประเภทกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามมาตรา 31 (1) ภายใต้ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 กับเจ้าพนักงานท้องถิ่นในพื้นที่ รวมทั้งควรมีประชาคมในการตั้งฟาร์ม (หากท้องถิ่นกำหนด) เพื่อลดข้อขัดแย้งต่างๆ โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานราชการ ส่วนภูมิภาค หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สาธารณสุข ปศุสัตว์ รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมภาคผังเมือง และประชาชนในรัศมีตั้งฟาร์ม 1 กิโลเมตร เข้าร่วมด้วย
- เกษตรกรควรกำหนดสัดส่วนพื้นที่การเลี้ยงสุกรให้เหมาะสม
ตรงตามเกณฑ์คำแนะนำสัดส่วนพื้นที่ต่างๆ ขององค์ประกอบฟาร์ม เพื่อป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมและเหตุเดือดร้อนรำคาญที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการเลี้ยงสุกร โดยองค์ประกอบของฟาร์มสุกร ประกอบด้วย
3.1 พื้นที่โรงเรือนเลี้ยงสุกร พิจารณาจากสัดส่วนพื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้างโรงเรือนเลี้ยงสุกรเปรียบเทียบกับจำนวนสุกรที่เลี้ยงแต่ละชนิดภายในฟาร์มทั้งหมด
3.2 พื้นที่กันชน พิจารณาจากสัดส่วนพื้นที่ตามขนาดของฟาร์มสุกรเทียบกับพื้นที่ของโรงเรือนเลี้ยงสุกรทั้งหมด
3.3 พื้นที่ระหว่างโรงเรือนเลี้ยงสุกรพิจารณาจากสัดส่วนพื้นที่ตามประเภทของโรงเรือนที่เลี้ยงและขนาดของฟาร์มสุกรเทียบกับพื้นที่ของโรงเรือนเลี้ยงสุกรทั้งหมด
3.4 เกษตรกรต้องจัดให้มีระบบน้ำบำบัดน้ำเสีย (ตามมาตรา 69 แห่ง พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535) โดยในการออกแบบและกำหนดขนาด หรือพื้นที่ของระบบน้ำบำบัดน้ำเสียแบบต่างๆ นั้นจะพิจารณาจากปัจจัยหลายด้าน เช่น ชนิดและจำนวนสุกรที่เลี้ยง ความยากง่ายในการติดตั้งระบบ การบำรุงรักษาระบบ ขนาดของพื้นที่ รวมไปถึงงบประมาณที่ต้องใช้ในการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียแต่ละแบบด้วย
- ควรมีการจัดทำมาตรการ สำหรับลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการเลี้ยงสุกร ได้แก่
4.1 การลดและป้องกันการแพร่กระจายของกลิ่น โดยต้องมีการควบคุมกลิ่นจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ทั้งบริเวณโรงเรือน ลานตากและโรงเก็บมูล ระบบบำบัดน้ำเสีย ตลอดจนบริเวณที่นำมูลสุกรไปใช้ประโยชน์ และควรมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการลดกลิ่นและบำบัดกลิ่น เช่น ระบบม่านกระจายน้ำหลังพัดลมท้ายโรงเรือน ระบบดักฝุ่นละอองการทำแนวกันชนสีเขียว เป็นต้น
4.2 ต้องมีมาตรการในการจัดการน้ำเสียที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
1. ก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียตามแบบมาตรฐาน โดยแบบต้องมีคำรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม หรือบุคคลอื่นตามที่กฎหมายกำหนด หรือใช้ระบบที่เป็นแบบมาตรฐาน ซึ่งผ่านการพิสูจน์และรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่าสามารถบำบัดน้ำเสียได้ตามมาตรฐานที่กำหนด
2. ระบบบำบัดน้ำเสีย ต้องสามารถรองรับน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงสุกรได้ทั้งหมดและต้องไม่ระบายน้ำทิ้งออกไปภายนอกฟาร์ม หรือปล่อยลงแหล่งน้ำสาธารณะ ในกรณีที่มีการระบายน้ำทิ้งออกภายนอกฟาร์ม จะต้องทำการบำบัดน้ำเสียให้ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานการระบายน้ำทิ้งจากฟาร์มสุกรที่กำหนดไว้
3. หากมีการนำน้ำเสียไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ คุณภาพน้ำเสียจะต้องมีค่าไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด และต้องมีหลักฐานแสดงตำแหน่งของพื้นที่ที่นำน้ำเสียไปใช้ประโยชน์ด้วย รวมไปถึงลักษณะและปริมาณที่นำไปใช้ประโยชน์ ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำเสียที่ถูกนำไปใช้นั้นจะต้องไม่ถูกระบายออกสู่สิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดผลกระทบตามมา ทั้งนี้กรณีผู้ที่นำน้ำเสียไปใช้ประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่เจ้าของฟาร์ม ต้องมีหลักฐานแจ้งความประสงค์ของผู้นำน้ำเสียไปใช้ประโยชน์ด้วย
4.3 ต้องมีวิธีการจัดการเพื่อควบคุมแมลงและพาหะนำโรคต่างๆ ทั่วทั่งบริเวณฟาร์ม เพื่อป้องกันเหตุรำคาญและยังเป็นการช่วยควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโรคได้ด้วย
4.4 ควรมีการคัดแยกและกำจัดขยะที่เหมาะสม ถูกต้องตามแต่ละประเภทของขยะ เช่น ขยะทั่วไป ขยะเปียก ขยะรีไซเคิล ขยะอันตราย เป็นต้น รวมทั้งมีการจัดการซากสุกรที่เหมาะสม
ปัจจัยต่างๆ ข้างต้นเป็นเพียงรายละเอียดส่วนหนึ่งที่รวบรวมมานำเสนอเท่านั้น เพราะในแต่ละหัวข้อก็จะมีรายละเอียดและเกณฑ์กำหนดระบุไว้อีกเบื้องต้นหากเกษตรกรนำข้อแนะนำดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในการพิจารณาก่อนตั้งฟาร์ม ก็จะสามารถช่วยลดผลกระทบและบรรเทาปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และลดเรื่องร้องเรียนปัญหาเรื่องกลิ่นและน้ำเสียได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้รายละเอียดอื่นๆ จะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป หรือหากมีเกษตรกรท่านใดสนใจ อยากได้คำแนะนำและแนวทางในการเริ่มต้นวางแผนผังฟาร์มโดยละเอียด ทางเครือ เวทโปรดักส์กรุ๊ป ก็ยินดีที่จะเข้าไปให้คำแนะนำครับ
เอกสารอ้างอิง
1) ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง การกำหนดเขตเหมาะสมสำหรับการเลี้ยงสัตว์ ลงวันที่ 7 มีนาคม 2556
2) คำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข ฉบับที่ 3/2549 เรื่องการควบคุมกิจการเลี้ยงสุกร
3) ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสุกรของประเทศไทย พ.ศ.2542 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2542
4) พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535
5) ระเบียบกรมปศุสัตว์ว่าด้วยการคุ้มครองและดูแลสวัสดิภาพสุกร ณ สถานที่เลี้ยง พ.ศ.2544
6) (ร่าง) คู่มือหลักเกณฑ์การอนุญาตและต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประเภทฟาร์มสุกร, กรมปศุสัตว์.2554
7) คู่มือแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมฟาร์มสุกร, กรมควบคุมมลพิษ.2552
8) พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535
ที่มา : หนังสือสัตว์บก ปี 23 ฉบับ 282 ตุลาคม 2559 (หน้า 112-113)