West Reborn after ASF
ผู้เลี้ยงภาคตะวันตกเตรียมความพร้อมหลัง ASF & COVID เริ่มสงบ
26 กันยายน 2565 นครปฐม - การสัมมนาหลังเว้นวรรคกระจายตัวในภูมิภาค ผู้เลี้ยงภาคตะวันตกรวมตัวครั้งใหญ่เตรียมพร้อมหลังทั้ง ASF และ COVID-19เริ่มสงบ
การจัดในครั้งนี้เป็นการร่วมกันระหว่างสำนักงานปศุสัตว์ เขต 7 สมาคมผู้เลี้ยงสุกร เขต 7 และภาคเอกชนกลุ่มฟาร์มสุกร บริษัทเกษตรครบวงจร เวชภัณฑ์ อาหารสัตว์ อุปกรณ์ฟาร์ม 51 ราย โดยเขต 7 ครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัด ประกอบด้วย กาญจนบุรี เพชรบุรี นครปฐม ราชบุรี สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และ สุพรรณบุรี เป็นพื้นที่การเลี้ยงสุกรหนาแน่นที่สุดในประเทศไทย
วิทยากรในการสัมมนา 4 ท่านประกอบด้วย
- น.สพ.วินัย ทองมาก“เทคนิคก่องลงหมูอย่างไรให้รอด เพื่อไปต่ออย่างยั่งยืน”
- ผศ.น.สพ.ดร.ปริวรรต พูลเพิ่ม “เลี้ยงหมูให้ยั่งยืน ยุคหลัง ASF”
- น.สพ.จำลอง วรศรี “การคุมเข้มตรวจสอบ การลักลอบนำเข้าซากสุกร”
- ผศ.น.สพ.คัมภีร์ กอธีระกุล“3 วิธีในการกลับมาเลี้ยงใหม่หลังเว้นวรรค วางแผนอย่างให้ได้ลูกหมูปลอดภัย”
น.สพ.วินัย ทองมาก ได้ให้คำแนะนำวิธีการด้านการเตรียมโรงเรือนหลังเคยประสบกับการติดเชื้อโรค ASF ในสุกรมาก่อน
หลักการและขั้นตอนก่อนเข้าหมูใหม่ RESTART
- เมื่อโรคสงบต้องยืนยันด้วยการ Swab บริเวณฟาร์มทั้งหมดอย่างน้อย 43 จุด
- ตรวจแม่ทุกตัวที่จะย้ายขึ้นคอกและทุกตัวที่จะหย่านมด้วย PCR ติดต่อกันอย่างน้อย 6 สัปดาห์
- ตรวจอนุบาลทุกคอกที่จะลงขุนด้วย OFs,PCR
- ตรวจหมูสาวเข้าฝูงทุกตัวด้วย PCR และ ELISA
- เฝ้าระวังตัวป่วยซึมไม่กินอาหารในหมูทุกระยะ ถ้าเจอให้รีบตรวจด้วย TESTKIT ถ้าผลบวก ให้รีบคัดทิ้งตัวนั้นคอกนั้นด้วยวิธีที่ปลอดภัย แล้วยืนยันหมู่ที่เหลือด้วย PCR
- ลดการใช้เข็มตลอดการเลี้ยง
3 ระยะฟื้นตัวและกลับมาเลี้ยงใหม่(จากข้อมูลต่างประเทศ 6-8 เดือน)
- ทำความสะอาดโรงเรือนให้ละเอียด และพ่นยาฆ่าเชื้อตามโปรแกรมปกติของฟาร์มเป็นเวลา 3 รอบ แต่ละรอบการฆ่าเชื้อให้ห่างกัน 10 วัน (รวมระยะเวลา 1 เดือน)
- หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดโรงเรือนทุก 1 เดือนเป็นเวลา 4 เดือนรวมระยะเวลาตั้งแต่ต้น 5 เดือน
- เมื่อเวลาผ่านไป 5 เดือนให้ทำความสะอาดโรงเรือนนั้นอีกครั้งหนึ่งแล้วหลังจากนั้น 10 วันจึงทำการ swab เชื้อที่พื้นโรงเรือนเพื่อตรวจหาเชื้อ Staphylococcus spp. และ ASFV (ต้องไม่เจอเชื้อ)รวมระยะเวลา 5 เดือน 2 สัปดาห์
โดยแนะนำตั้งทีมงานฝีมือดีไว้ใจได้พร้อมสัตวบาลควบคุม 1 คน (QC) โดยจุดสำคัญของการจัดการโรงเรือน คือ
- ไม่มีเชื้อเก่า เชื้อใหม่ไม่เข้า ไม่เป็นโรค
- ล้างทำความสะอาดตามขั้นตอน
o ห้ามใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง (High Pressure Cleaner) ก่อนถึงขั้นตอนขัดด้วยมือเสร็จ เพื่อป้องการกระจายของเชื้อ
o วันที่ 1 ลงโซดาไฟ 2.5% ปล่อยแห้ง พ่นโฟมยาฆ่าเชื้อ(ด่าง)แล้วลงมือขัด ล้างออกแล้วปล่อยให้หมาด แล้วเป่าไฟให้ทั่วถึงหรือใช้น้ำร้อนมากกว่า 75 องศาเซลเซียส พ่นโฟมยาฆ่าเชื้อ
o ก่อนลงยาฆ่าเชื้ออาจจะต้องมีค่าการตรวจระดับสารบ่งชี้ทางชีวภาพระดับโมเลกุลของจุลชีพสิ่งมีชีวิต ในวัฏฏะจักรวงจร สารอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine triphosphate (ATP)) อยู่ไม่เกินหลักหมื่น ถ้าเกินล้างใหม่
o วันที่ 2 ทำซ้ำเหมือนวันแรก อีกรอบ ปล่อยข้ามคืน โรงเรือนปิด ทำความสะอาดพัดลม ถอด Cooling Pad ออกล้างหรือทิ้งเลย วันที่ 3 เปิดหน้าดินรอบโรงเรือน ลาดโซดาไฟ โรยปูนขาวจนไม่เห็นพื้น
o วันที่ 3 โรงเรือนเปิดเอามุ้งลงให้ตึงมิดชิด พ่นยาฆ่าเชื้อ ตัวที่ใช้พ่นโฟมทั้งข้างในและข้างนอกโรงเรือนเพดาน มุ้งฟ้าให้ครบ 100%
o วันที่ 3 โรงเรือนปิดใส่ Cooling Pad ตัวใหม่ ปิดเล้าพ่นโฟมยาฆ่าเชื้อให้ทั่วทั้งข้างนอกและข้างในโรงเรือน
o วันที่ 4 พ่นยาฆ่าแมลงกลุ่มไพริทอยด์ชนิดออกฤทธิ์นานทั้งในและนอกโรงเรือน เล้าเปิดให้พ่นไปที่มุ้งให้ทั่วและที่ชายมุ้งป้องกันแมลงคลาน พ่นซ้ำทุกๆ 2 สัปดาห์ ยกเว้นฝนตกหนัก ให้พ่นรอบนอกโรงเรือนใหม่ ควรตัดต้นไม้ใกล้โรงเรือนออก เพื่อลดที่อาศัยแมลงดูดเลือด
o รมควันด้วยด่างทับทิมและฟอร์มาลีน (1.2 ลิตร ต่อ 800 กรัม) พัก 3-4 วันแล้ว Swab ตรวจด้วยเครื่องตรวจ ATP ได้ต่ำกว่า 1,000 และ Swab ส่งตรวจ ASF 13 จุดในวันเดียวกัน ถ้าผลผ่านเอาหมูลงได้ ไม่ผ่านเริ่มกระบวนการล้างใหม่ทั้งหมด
o ทีมดูแลหมูจะแบ่งเป็น สีเขียว สีส้ม และสีแดง ตามความเสี่ยง อย่างเคร่งครัด
ประเมินปิดท้าย
- ถ้าทุกอย่างเอื้ออำนวยใช้เวลา 7-14 วันสามารถลงเลี้ยงได้เลย
- ถ้าทำไม่ได้ทุกข้ออย่างเคร่งครัดและหรือยังมีเชื้อวนเวียนใกล้เคียงอย่างหนาแน่น ไม่ควรเข้าหมู
- ถ้าไม่แน่ใจว่าสามารถฆ่าเชื้อเก่าได้หมด ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบ BIOSECURITY ได้ 100% ไม่ควรเริ่มต้นเสี่ยงเลี้ยงใหม่
- ยังไม่มีวัคซีนที่ได้ผลในเมืองไทย (อยู่ในขั้นตอนวิจัยพัฒนา) ไม่มียาใดรักษาโรคนี้ได้ เมื่อติด ASF Virus แล้ว ถึงตายช้าลงก็ต้องคัดทิ้งเพื่อไม่ให้โรคกระจายทั้งฟาร์มอยู่ดี BIOSECURITY จึงสำคัญที่สุด
- กรณีใช้น้ำบ่อน้ำหน้าดิน และเคยเกิดการปนเปื้อน ASF Virus ในแหล่งน้ำแล้ว ควรปรึกษาสัตวแพทย์ถึงวิธีฆ่าเชื้อที่ถูกต้องก่อนจะเริ่มต้นเลี้ยงใหม่
แล้วใช้ตัวหมูปลอดเชื้อไปลองเลี้ยงดูว่าป่วยหรือไม่ โดยใช้วิธี Sentinel pigs หรือลงเลี้ยงประมาณ 10% ของกำลังการเลี้ยงของโรงเรือน
- ใส่ทุกคอกและทางเดิน กระจายทั่วทั้งโรงเรือน
- สังเกตอาการป่วย และสุ่มเก็บตัวอย่างเลือดหลังจากเลี้ยงสุกร 2 สัปดาห์ เพื่อตรวจ ASF Virus (รวมเวลา 6 เดือน)
ถ้าสุกรที่นำเข้ามาเลี้ยงใหม่ไม่แสดงอาการและตรวจเชื้อในเลือดสุกรดังกล่าวเป็นลบ จึงให้ทำการเลี้ยงสุกรกลุ่มใหม่ในโรงเรือนดังกล่าวได้
- สังเกตอาการและสุ่มเก็บตัวอย่างเลือกตรวจเชื้อ ASF Virus
- ถ้าลบก็เริ่มขยายการเลี้ยงมากขึ้นต่อไป
ผศ.น.สพ.ดร.ปริวรรต พูลเพิ่ม เทียบหลักการ COVID Free Setting มีลักษณะคล้าย ASF คนในวงการสุกรคุ้นเคยกับการป้องกัน ASF ก่อนที่จะเกิดการระบาดของ COVID-19 ในคน ซึ่งการปฏิบัติ BIOSECURITY ในฟาร์มจะมีลักษณะเดียวกันคือลด Contact Transmission การแยกกลุ่มกำหนดพื้นที่เสี่ยงสูง เสี่ยง เฝ้าระวัง ออกจากกลุ่มปกติกำหนดพื้นที่เสี่ยงสูง กลาง ต่ำ เฝ้าระวัง ที่มีคำถามว่าคนเลี้ยงพร้อมที่จะ Re-Start หรือยังต้องถามใจตัวเองดูก่อนว่า จะไปอย่างไร Reborn อย่างไร? ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางในการจัดการในเบื้องต้นของโรงเรือนและสิ่งแวดล้อมฟาร์ม ตามที่นายสัตวแพทย์วินัย ทองมาก ได้นำเสนอไปในช่วงแรก
ถ้าจะกลับมาเลี้ยงใหม่ต้องปรับ MINDSET ระหว่าง FIXED MINDSET และ GROWTH MINDSET ความคิดเดิม กับ ความคิดตามบริบทที่ต้องปรับเปลี่ยนเพราะส่วนใหญ่ของพาหะนำโรค คือ คน กับ หมู ในอดีตฟาร์มแต่ละความใช้คนงานร่วมกันแต่ปัจจุบันต้องแยก ต้องจ้างเพิ่ม ค่าแรงคนงานเพิ่มเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม ปัจจุบันนอกจากอาบน้ำก่อนเข้าฟาร์ม การล้างมือซอกเล็บต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องเข้มงวดมากขึ้น
ปูนขาวที่ใช้ในการฆ่าเชื้อต้องโดนน้ำก่อน ปูนขาวแห้งไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ โดยในกรณีที่ปูนขาวปนเปื้อนขี้หมูจะลดประสิทธิภาพลง จัดบ้านพักคนงานอยู่หน้าฟาร์ม ให้คนงานพักในบริเวณฟาร์มเพื่อลดปัญหาการไปกลับจากที่พักซึ่งเราจะควบคุมการเดินทางไปในที่ต่างๆ ของคนงานไม่ได้
ในฟาร์มแม่พันธุ์สุกรต้องเว้นระยะกรง เช่น 4 เว้น 1 บ้าง 5 เว้น 1 บ้าง การเว้นซองนอกจากลดการติดเชื้อเป็นกลุ่ม ยังเป็นการลดความหนาแน่นจะทำให้หมูปลอดภัยยิ่งขึ้น ต่อยอดจากการบรรยายของนายสัตวแพทย์วินัยคือ ในเรื่องของการทำลายเชื้อในสภาพแวดล้อมจุดต่างๆ ในฟาร์ม ลดจุดเสี่ยงที่ลมผ่านไม่ได้ให้มากที่สุด
วัคซีนจากเวียดนามยังคงมีปัญหา วัคซีนจากทั้งเวียดนามและจีนยังไม่มีประสิทธิภาพพอ ฉะนั้นระบบ BIOSECURITY ยังเป็นหลักอยู่ในปัจจุบัน
ผศ.น.สพ.ดร.ปริวรรต พูลเพิ่ม ได้ทิ้งท้ายถึงการประกอบการของรายย่อยเป็น GDP ประเทศเช่นกัน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเช่นกัน ไม่ใช่รัฐมุ่งไปแต่รายใหญ่ เพราะรายย่อยรายเล็กเมื่อรวมกันก็จะเป็นจำนวนมหาศาลถึงแม้จะไม่ได้ถูกนำไปรวมกับยอดใหญ่ทั้งระบบมันก็คือการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้พลเมืองให้กินดีอยู่ดี เพียงแค่รัฐบาลอาจไม่มีตัวเลขไปแสดงผลงานเท่านั้น แต่มันจะไปลดปัญหาหนี้สินภาคเกษตรและหนี้สินภาคครัวเรือนได้เอง
น.สพ.จำลอง วรศรี วิทยากรจากกรมปศุสัตว์ ในหัวข้อ “การคุมเข้มตรวจสอบ การลักลอบนำเข้าซากสุกร” การบรรยายของนายสัตวแพทย์จำลองจะเน้นไปที่ระเบียบการเคลื่อนย้าย การขอจัดทำใบอนุญาตทำการค้าหรือหากำไรในลักษณะคนกลางซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ (ร.10) และ บทกำหนดโทษของ 2 พระราชบัญญัติ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติโรคระบาด พ.ศ.2558 และ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 เช่น
พระราชบัญญัติโรคระบาด พ.ศ.2558
มาตรา ๒๒ เมื่อได้ประกาศกําหนดเขตโรคระบาดชั่วคราวตามมาตรา ๒๐ หรือประกาศกําหนดเขตโรคระบาดหรือเขตเฝ้าระวังโรคระบาดตามมาตรา ๒๑ ห้ามมิให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์ตามที่กําหนดในประกาศดังกล่าว เข้า ออก ผ่าน หรือภายในเขตนั้น เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากสัตวแพทย์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบประจําเขตนั้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้าย
มาตรา ๓๑ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคระบาด ผู้ใดนําเข้า ส่งออก หรือนําผ่าน
ราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ ต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายทุกครั้งที่นําเข้า
ส่งออกหรือนําผ่านราชอาณาจักร
การขออนุญาต การออกใบอนุญาต และวิธีการนําเข้า ส่งออก หรือนําผ่านราชอาณาจักร
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกําหนด
มาตรา ๓๓ เมื่อปรากฏว่าท้องที่ใดภายนอกราชอาณาจักรมีหรือสงสัยว่ามีโรคระบาด ให้อธิบดีมีอํานาจประกาศเพื่อชะลอการนําเข้าหรือนําผานราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์จากท้องที่นั้นได้ครั้งละไม่เกินเก้าสิบวัน หากรัฐมนตรีเห็นสมควรอาจประกาศกําหนดห้ามการนําเข้า หรือนําผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์จากท้องที่นั้นได้
มาตรา ๖๘ ผู้ใดนําเข้า ส่งออกหรือนําผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๖๙ ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๓๑ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๒ หรือฝ่าฝืนประกาศของอธิบดีที่ออกตามมาตรา ๓๓ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๗๐ ผู้ใดฝ่าฝืนประกาศของรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา ๓๓ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้บรรยายไม่ได้ลงรายละเอียดการทำงานร่วมกับกรมศุลกากรถึงมาตรการคุ้มเข้มต่างๆ ที่น่าจะสอดคล้องกับหัวข้อ “การคุมเข้มตรวจสอบ การลักลอบนำเข้าซากสุกร”มากกว่า เพราะบทกำหนดโทษจะกำหนดไว้สูงเพียงใด จะไม่สามารถนำไปใช้ได้ ถ้าผู้กระทำความผิดหลุดรอดการจับกุม จึงเป็นเรื่องที่ผู้เลี้ยงต้องช่วยกันสอดส่อง เพราะจากที่ปรากฏการจับกุม ที่บรรจุภัณฑ์แสดงแหล่งกำเนิดมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรค ASF ในสุกรเกือบทั้งหมด เช่น สปป.ลาว รัสเซีย เยอรมัน บราซิล จึงไม่แปลกที่มีการตั้งข้อสงสัยว่าเนื้อสุกรลักลอบเป็นเนื้อสุกรที่ไม่สามารถทำการค้าได้ และถูกลักลอบเข้ามาในประเทศไทยในราคาถูกมาก
จึงขอให้ผู้เลี้ยงช่วยกันสอดส่องเมื่อพบเห็นการกระทำความผิดในการลักลอบ โดยสามารถแจ้งการกระทำความผิดไปยังกรมปศุสัตว์ โทร 063-225-6888
คุณสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้กล่าวถึงการจัดงานในวันนี้ที่ยินดีมากกับหัวข้อการสัมมนาที่มุ่งประเด็นไปที่การเตรียมความพร้อมที่สำคัญมาก เพราะต่างได้รับบทเรียนกันมาทั้งนั้น ทั้งความพร้อมของเงินทุน ความพร้อมต่อระเบียบใหม่ของกรมปศุสัตว์ ความพร้อมของสภาพโรงเรือน พันธมิตรทางการค้า Supplier ต่างๆ ความพร้อมต่อเพื่อนร่วมอาชีพ เพราะความไม่พร้อมนอกจากจะสร้างปัญหาให้ตนเอง สร้างปัญหาให้เพื่อนร่วมอาชีพแล้ว ยังสร้างปัญหาให้ทางราชการด้วย
การกลับมาใหม่ในขณะนี้ต้องใช้ทุนในการป้องกันสูงมาก ในขณะที่ยังมีหมูกล่องมารบกวน แย่งตลาดผลผลิต ซึ่งเราจะปล่อยให้หมูลักลอบเข้ามาทำลายอุตสาหกรรมหมูไทยไม่ได้
ผศ.น.สพ.คัมภีร์ กอธีระกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุกรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน กับ หัวข้อ “3 วิธีในการกลับมาเลี้ยงใหม่หลังเว้นวรรค วางแผนอย่างให้ได้ลูกหมูปลอดภัย” โดยพื้นฐานการเป็นนายสัตวแพทย์สายอายุรกรรม จึงเสริมในประเด็นการสร้างภูมิคุ้มกันผ่านวิธีการทางโภชนาการ เป็นหลัก ซึ่งเสมือนปราการที่สองนอกเหนือจากระบบ BIOSECURITY ที่มองว่ายังเป็นที่ 1 เสมอ
กรณี ASF เข้าทาง GI Tract (gastrointestinal tract) เกี่ยวข้องกับ Mucosal ที่ไปโยงกับกรณี PED ที่ใช้วัคซีน antigen-specific IgA ซึ่งเป็นแนวคิดสร้างภูมิสู้โรคให้หมู
Tylvalosin tartrate เป็นยาปฏิชีวนะ Macrolide ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียต่อแกรมบวกสิ่งมีชีวิตแกรมลบบางชนิดและมัยโคพลาสม่า มันทําหน้าที่โดยการยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนในเซลล์แบคทีเรีย ช่วยการแบ่งตัวของ Macrophage เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งและเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน มีหน้าที่กลืนกินและย่อยสลายสิ่งใดๆ ที่ไม่มีโปรตีนผิวที่บ่งบอกว่าเป็นเซลล์ร่างกายปกติ เช่น เชื้อแปลกปลอมต่างๆ และอื่นๆ
บทสรุป 3 ด้านหลักประกอบด้วย
- ระบบ Bio Security ยังคงเป็นทางรอดหลัก
- การใช้สูตรผสมของสารเสริมต่างๆ เช่น Tylvalosin ที่สามารถต้านไวรัสได้ โดยผสมผสานกับ Fatty Acid และโมโนกลีเซอไรด์ และการใช้ Probiotics สู้ ASF กับบางฟาร์มดำเนินอยู่และประสบความสำเร็จมาแล้ว โดยผลการให้อาหารกลุ่ม Fatty Acid และ Probiotics ที่มีค่าใช้จ่ายพอๆ กับค่ายาสามารถเสริมคุณภาพการเลี้ยงได้ โดยสูตร Combination สามารถทำให้การตรวจเลือดสุกรเป็นลบได้
- การใช้วัคซีนที่เป็นทางเลือกในอนาคต และยังสามารถใช้ร่วมกับสูตรผสมตามข้อ 2 ได้ โดยวัคซีนจะเป็นใน 2 ลักษณะคือ เวกเตอร์วัคซีน และ วัคซีนรีคอมบิแนนท์
วงการสุกรในปัจจุบันมีทางออกในเรื่องนี้แล้วอย่างไร มีทางออกอย่างไรบ้าง มีทางออกเพิ่มเติมจากเดิม ที่ BIOSECURITY เป็นหลัก ทางออกที่สองที่ลงมือทำเสร็จแล้ว คือแนวทางเลือกที่ประสานงานด้านอายุรรรม-ระบาดวิทยา-ภูมิคุ้มกันในระบบผิวเยื่อเมือก(Mucosal) พร้อมกำกับด้วยเนื้องานตรวจวินิจฉัยทางวิทยาศาสตร์ ประสานเป็นการใช้หลายๆ อย่างร่วมกัน(Combination) สามารถลดความเสียหายจากการระบาด เข้ากำกับต่อด้วยการเลือกสรร หมูที่ตรวจเลือดผลยังเป็นลบนำใช้ต่อในการผลิตสุกรขุนปลอดโรคสู่ตลาด
ทางออกที่สามคือการค้นคว้าเรื่องวัคซีน ซึ่งเป็นมติอย่างไม่เป็นทางการแล้วว่า ประเทศไทยจะไม่ใช้วัคซีนเชื้อเป็น ASF โดยเด็ดขาด แต่อยู่ในช่วงค้นคว้าทำเวกเตอร์วัคซีน กับ วัคซีนรีคอมบิแนนท์
ทางออกที่สี่ คือ ค้นคว้าและพัฒนาต่อเนื่อง ตัวโปรไบโอติก เลียนแบบธรรมชาติของหมูปาวอร์ดฮ็อกของแอฟริกา ที่มีไมโครไบโอต้าของระบบทางเดินอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในระบบผิวเยื่อเมือกต่อต้าน ASF ให้โฮสต์ได้
ทางออกที่ห้า คือ ค้นหาคัดหมูที่มีความต้านทานต่อโรคระบาด ASF ดังธรรมชาติของสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งคนด้วยที่การระบาดของทุกโรคจะมีตัวที่รอดโดยไม่เป็นโรคเลย(แสดงอาการอ่อนหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย)แล้วมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ได้ ปัจจุบันได้พบเห็นได้เสมอในฝูงที่มีหมูรอดเหลือจากการระบาด แต่ยังต้องศึกษาในรายละเอียดและต้องค้นหาติดตาม ต่ออีกหลายเจนเนอเรชั่น และต้องส่งเสริมการศึกษาด้านโครโมโซม
เมื่อรวบรวมถึงปัจจุบัน จึงได้ห้าทางออก นี่คือการค้นคว้าศึกษาของประเทศไทย สำหรับการเลี้ยงหมูไทยในอนาคตอันใกล้นี้ 3-5 ปี
ฟาร์มที่ไม่พบการระบาดของ ASF จะมีผลประกอบการดี จึงมีกำไรไปขยายธุรกิจฟาร์มครบวงจรมากขึ้นฟาร์มเล็กจะมีความคล่องตัวเป็นจุดเด่น ขยายจำนวนแม่สุกรพันธุ์มากขึ้น มีโอกาสขยับเป็นฟาร์มใหญ่ จะปรับเปลี่ยนใช้สิ่งใหม่ๆ
ฟาร์มเล็ก-คอนแทรคฟาร์ม-รายย่อย ต่างมีโอกาสเชื่อมต่อธุกิจ กับเครือข่ายฟาร์มใหญ่ หรือเครือบริษัทใหญ่ ใช้อาหาร-ให้เช่าเล้า
ฟาร์มแม่พันธุ์เอกชนที่ผลิตหมูขุน จะเข้าร่วมเป็นคอนพาร์ทเมันต์กับบริษัทใหญ่ธุรกิจครบวงจร เพื่อร่วมใช้โรงฆ่าและช่องขาย
ฟาร์มรายย่อย เล็ก คอนแทรค กลาง ใหญ่ ที่เจอเข้ากับโรค ASF ใช้เวลาพอสมควรในการกลับมา บางรายอาจต้องเว้นวรรคยาว รอธนาคารให้สินเชื่อ แต่รายที่มีความพร้อมมุ่งมั่นสามารถกลับมาได้อย่างมั่นคงถ้าเตรียมตัวได้อย่างดี
การสัมมนาในลักษณะนี้จัดอย่างแพร่หลายในหลายภูมิภาค โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือจัดไปแล้วจำนวน 10 ครั้ง ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ซึ่งมีเกษตรกรในทุกขนาดได้มีการทะยอยจัดในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงทั้งประเทศที่เหลือประมาณ 107,000 ราย จะกลับมาใกล้เคียงจำนวนเดิมน่าจะประมาณปี 2567 ที่จะมีบริบทของการเลี้ยงสุกรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยจะสามารถเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรได้มากขึ้น